มะม่วงแก้วขมิ้น เป็นมะม่วงที่เป็นไม้เศรษฐกิจตัวใหม่ ของชาวสวนเกษตร ลูกใหญ่ รดชาดดี
เป็นมะม่วง3รส รสชาดคล้ายมะม่วงแก้วแต่เปรี้ยวน้อยกว่าและไม่มีกลิ่นขี้ใต้ น้ำหนักดี2ลูก/กิโลกรัม ปลูก2ปีเริ่มให้ผลผลิตแต่ยังไม่ดกมาก จะให้ผลผลิตต้นละ 1 – 3 ตัน ต่อปี หลังจากปลูกแล้ว 5 ปีขึ้นไป โรงงานทำมะม่วงดอง เพื่อทำมะม่วงแช่อิ่ม มีเท่าไหร่รับหมด เพราะรดชาด และน้ำหนักดีเป็นเยี่ยม และเดี๋ยวนี้ตามรถเข็นขายผลไม้ส่วนมากก็จะเป็นมะม่วงแก้วขมิ้น เป็นมะม่วงกินได้ทั้งดิบและสุก ลูกใหญ่กว่ามะม่วงแก้วพันธุ์ดั้งเิดิมของไทย ดอกมีกลิ่นหอม เนื้อก็มีสีเหลืองนวลคล้ายกับขมิ้น จึงได้ชื่อว่ามะม่วงแก้วขมิ้น
เนื่องจากตอนนี้กระแสของมะม่วงแก้วขมิ้นแรงมาก จึงมีการทำกิ่งพันธุ์มาหลอกขาย สงสารก็แต่คนซื้อ ตาดีได้ตาร้ายเสียตังค์แน่ เพราะปลูกกว่าจะออกลูกก็ 2-3ปี ออกลูกมาแล้วกลับไม่ใช่อีก ที่เขีนยอย่างนี้เพราะเป็นห่วงสมาชิกเวป ThaiG จะโดนกับเขาก็เลยเตือนมา เพราะตอนนี้ในบ้านเราต้นพันธุ์มะม่วงแก้วขมิ้นยังมีน้อย ถ้าจะซื้อต้องซื้อแบบทาบกิ่งจะปลอดภัยกว่า เพราะซื้อแบบเสียบยอดอาจเจอแจ๊คพอร์ต เขาไปเอายอดมะม่วงที่ยังไม่ออกลูกมาเสียบยอดให้(เอายอดจากต้นกล้ามะม่วงมาเสียบ) ปลูกไปก็เหมือนปลูกจากเมล็ดรอไป 5-7ปีถึงจะออกลูก ฉะนั้นจะซื้อกิ่งพันธุ์ต้องซื้อจากสวนที่ไว้ใจได้ถ้าดูไม่เป็น ถ้าแต่ดูเป็นก็โอเคเลยซื้อที่ไหนก็ได้
คลิกดูรายการข่าวคลินิกเกษตร-มะม่วงแก้วขมิ้น มะม่วงฮิตจากกัมพูชา 2013-12-13 ทางช่อง 3 มาทำข่าว
ที่สวนThaiG
ขณะนี้สวนThaiG มีกิ่งมะม่วงแก้วขมิ้นขายแล้วนะค่ะ การันตีสายพันธุ์แท้แน่นอนนำเข้ามาจากถิ่นกำเนิดของเขาเองคือ เขมรค่ะ มีทั้งแบบเสียบยอดและทาบกิ่งนะค่ะ แล้วแต่ท่านจะเลือกซื้อ ถ้าแบบเสียบยอดราคก็จะถูกลงมาหน่อยแต่ต้นก็เล็กตามนะค่ะ ต้นเสียบยอดต้องไม่กลัวว่าจะโดนหลอกนะค่ะ ยอดที่นำมาเสียบเป็นยอดที่นำเข้ามาจากเขมรค่ะ สูงประมาณ 20-50ซม.จากก้นถุงนะค่ะ เสียบยอดแล้วแตกขึ้นมาชั้นเดียวยังไม่ได้ขึ้นชั้นที่สองเลยก็จะมีลูกค้ามาจับจองซื้อไปปลูกกันแล้วโตไม่ทันจริงๆ ขายดีจริงๆสำหรับมะม่วงแก้วขมิ้น ส่วนกิ่งทาบ ต้นจะสูงปะรมาณ 50-60ซม นะค่ะ ใครอยากได้มะม่วงยอดฮิต ที่รสชาดถูกปาก ถูกใจคนไทยเป็นยิ่งนัก ก็รีบหาซื้อไปปลูกนะค่ะ อีก 3ปีข้างหน้า ก็จะได้เก็บลูกกินแล้ว
ถ้าใครยังหาไม่ได้ก็ลองโทรมาสอบถามหรือจองได้ที่ 089-1710545 คุณสุกัลยา
Thursday, 29 September 2016
Sunday, 28 August 2016
มะม่วงแก้วขมิ้น มะม่วงฮิตจากกัมพูชา
มะม่วงแก้วขมิ้น มะม่วงฮิตจากกัมพูชา
มะม่วงแก้วขมิ้นมีถิ่นกำเนิดจาก ประเทศกัม
พูชา โดยมีชื่อเรียกในภาษาเขมรว่า ซะ–วาย–แกว–รำเมด ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “มะม่วงแก้วขมิ้น” ถูกนำเข้ามาปลูกเพื่อเก็บผลและขยายพันธุ์ตอนกิ่งจำหน่ายในประเทศไทยนานกว่า 4-5 ปี แล้ว ปรากฏว่า ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อผลไป รับประทาน และซื้อกิ่งตอนไปปลูกอย่างแพร่หลาย เนื่องจาก เป็นมะม่วงที่ติดผลง่าย ติดผลดกตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องใช้วิธีบังคับให้ติดผลนอกฤดูกาลเช่นมะม่วงสายพันธุ์อื่น จึงทำให้เกษตรกรผู้ปลูกเก็บผลขายมีผลขายได้ตลอดปี สนนราคาอยู่ระหว่างกิโลกรัมละ 50 บาท ขายเป็นผลเดี่ยวๆ ผลละ 20 บาท
มะม่วงแก้วขมิ้นหรือแก้วเขมรนี้ปัจจุบันจัดเป็นมะม่วงที่เป็นไม้เศรษฐกิจตัวใหม่ของชาวสวนเกษตร ลูกใหญ่รสชาติดี เป็นมะม่วง 3 รส รสชาติคล้ายมะม่วงแก้วแต่เปรี้ยวน้อยกว่าและไม่มีกลิ่นขี้ไต้ น้ำหนักดี 2 ลูกต่อกิโลกรัม ปลูก 2 ปีเริ่มให้ผลผลิตแต่ยังไม่มากนัก หลังจากปลูกแล้ว 5 ปีขึ้นไปผลผลิตจะดกมาก โรงงานทำมะม่วงดอง ทำมะม่วงแช่อิ่ม มีเท่าไหร่รับหมด เพราะรสชาติและน้ำหนักดีเป็นเยี่ยม สำหรับมะม่วงพันธุ์นี้เท่าที่สังเกตจะมีร่องนิด ๆ ที่ใต้ขั้ว ผลดิบรสชาติอร่อยมาก คือไม่เปรี้ยวมาก ลูกดิบที่ไม่ค่อยแก่จะสีไม่เหลือง แต่ลูกแก่จะออกสีเหลืองเหมือนขมิ้น ยิ่งแก่มากยิ่งสีเหลืองมาก ผลสุกก็หวาน มีเสี้ยนนิด ๆ แต่นิยมกินดิบ
มะม่วงแก้วขมิ้น มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไป ต้นสูง 3-6 เมตร ใบแหลมยาว โคนมน ดอกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกมีกลิ่นหอม “ผล” มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เมื่อพบเห็นจะรู้ได้ทันทีว่าเป็นผล “มะม่วงแก้วขมิ้น” เมล็ดเล็กติดผลเป็นพวง 5-10 ผล ผลดกเต็มต้นตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และทาบกิ่ง
เครดิต บทความมาจาก
http://ch3.sanook.com/9465
มะม่วงแก้วขมิ้นมีถิ่นกำเนิดจาก ประเทศกัม
พูชา โดยมีชื่อเรียกในภาษาเขมรว่า ซะ–วาย–แกว–รำเมด ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “มะม่วงแก้วขมิ้น” ถูกนำเข้ามาปลูกเพื่อเก็บผลและขยายพันธุ์ตอนกิ่งจำหน่ายในประเทศไทยนานกว่า 4-5 ปี แล้ว ปรากฏว่า ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อผลไป รับประทาน และซื้อกิ่งตอนไปปลูกอย่างแพร่หลาย เนื่องจาก เป็นมะม่วงที่ติดผลง่าย ติดผลดกตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องใช้วิธีบังคับให้ติดผลนอกฤดูกาลเช่นมะม่วงสายพันธุ์อื่น จึงทำให้เกษตรกรผู้ปลูกเก็บผลขายมีผลขายได้ตลอดปี สนนราคาอยู่ระหว่างกิโลกรัมละ 50 บาท ขายเป็นผลเดี่ยวๆ ผลละ 20 บาท
มะม่วงแก้วขมิ้นหรือแก้วเขมรนี้ปัจจุบันจัดเป็นมะม่วงที่เป็นไม้เศรษฐกิจตัวใหม่ของชาวสวนเกษตร ลูกใหญ่รสชาติดี เป็นมะม่วง 3 รส รสชาติคล้ายมะม่วงแก้วแต่เปรี้ยวน้อยกว่าและไม่มีกลิ่นขี้ไต้ น้ำหนักดี 2 ลูกต่อกิโลกรัม ปลูก 2 ปีเริ่มให้ผลผลิตแต่ยังไม่มากนัก หลังจากปลูกแล้ว 5 ปีขึ้นไปผลผลิตจะดกมาก โรงงานทำมะม่วงดอง ทำมะม่วงแช่อิ่ม มีเท่าไหร่รับหมด เพราะรสชาติและน้ำหนักดีเป็นเยี่ยม สำหรับมะม่วงพันธุ์นี้เท่าที่สังเกตจะมีร่องนิด ๆ ที่ใต้ขั้ว ผลดิบรสชาติอร่อยมาก คือไม่เปรี้ยวมาก ลูกดิบที่ไม่ค่อยแก่จะสีไม่เหลือง แต่ลูกแก่จะออกสีเหลืองเหมือนขมิ้น ยิ่งแก่มากยิ่งสีเหลืองมาก ผลสุกก็หวาน มีเสี้ยนนิด ๆ แต่นิยมกินดิบ
มะม่วงแก้วขมิ้น มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไป ต้นสูง 3-6 เมตร ใบแหลมยาว โคนมน ดอกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกมีกลิ่นหอม “ผล” มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เมื่อพบเห็นจะรู้ได้ทันทีว่าเป็นผล “มะม่วงแก้วขมิ้น” เมล็ดเล็กติดผลเป็นพวง 5-10 ผล ผลดกเต็มต้นตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และทาบกิ่ง
เครดิต บทความมาจาก
http://ch3.sanook.com/9465
Wednesday, 24 August 2016
วิธีปลูกมะม่วงแก้วขมิ้น
วิธีปลูกมะม่วงแก้วขมิ้น
1. การเพาะเมล็ดมะม่วง
โดยทั่วไป การเพาะเมล็ดมีจุดประสงค์สองประการคือ เพื่อใช้ปลูกโดยตรง และเพื่อใช้เป็นต้นตอสำหรับการขยายพันธุ์แบบต่างๆ เช่น การติดตา การทาบกิ่ง เป็นต้น การเพาะเมล็ดเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน ข้อดีของการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดคือ ทำได้ง่าย ได้จำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว ต้นมะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ด ต้นจะใหญ่โตมีอายุยืนนาน เพราะมีระบบรากที่แข็งแรง ส่วนข้อเสียคือ ออกดอกออกผลช้ากว่าการขยายพันธุ์ด้วยการติดตา การตอน หรือการทาบกิ่ง และต้นมะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ดนั้น อาจกลายพันธุ์ ไม่ตรงตามพันธุ์เดิมก็ได้ ซึ่งอาจดีกว่าหรือเลวกว่าพันธุ์เดิม กลายเป็นพันธุ์ใหม่ไป
1.1 การเพาะเมล็ด การเพาะเมล็ดจำนวนไม่มากนักอาจจะเพาะในกระบะหรือในภาชนะต่างๆ เช่น หม้อดิน กระถาง กระบอกไม้ไผ่ และถุงพลาสติก เป็นต้น ส่วนการเพาะเมล็ดจำนวนมากๆ ควรเพาะในแปลงเพาะชำเสียก่อน แล้วจึงขุดไปปลูก หรือนำไปทาบกิ่งต่อไป
1.2 การเก็บเมล็ดที่จะนำมาเพาะ ควรคัดเลือกเก็บจากต้นแม่ที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่แคระแกร็นที่จะเก็บมาต้องแก่จัด หรือสุกปากตะกร้อควรมีขนาดและน้ำหนักเท่าๆเมล็ดที่จะนำมาเพาะเพื่อใช้เป็นต้นตอ ควรเป็นเมล็ดของมะม่วงพันธุ์ที่แข็งแรงทานกะล่อนแก้วแดงร่องต้นมะม่วงพวกนี้จะแข็งแรง ทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆดี
1.3 การเตรียมเมล็ด แกะเมล็ดในมาเพาะ ให้ใช้มีดคมๆ ตัดปลายเมล็ดออกเล็กน้อย เพื่อให้เห็นช่องว่างภายใน รอยที่ตัดให้ค่อนไปทางด้านท้องของเมล็ด แล้วฉีกเปลือกของเมล็ดนอกออกเป็น 2 ซีก แล้วเอาเมล็ดที่อยู่ภายในซึ่งมีเยื่อบางๆ หุ้มอยู่ออกมาทำการเพาะ วิธีนี้จะช่วยให้เมล็ดโปร่ง อากาศ และน้ำเข้าไปในเมล็ดได้ง่าย เมล็ดงอกได้เร็ว และถ้ามีแรงงานพอ ให้แกะเอาเปลือกแข็งที่หุ้มเมล็ดออกทั้งหมด เอาแต่เนื้อข้างในไปเพาะ ก็จะทำให้งอกได้ดียิ่งขึ้นอีก
เมล็ดที่เอาเนื้อออกแล้ว ให้รีบเพาะภายใน 1 สัปดาห์ ไม่ควรเก็บไว้นานเกินกว่า 1 เดือน จะเพาะไม่งอก หรือถ้างอกต้นก็จะไม่ค่อยแข็งแรง การทิ้งเมล็ดให้โดนแดดโดนลมจะทำให้ความงอกเสียไป เมื่อได้เมล็ดมาแล้ว ควรคัดเมล็ดโดยการนำเมล็ดไปแช่น้ำ เมล็ดที่จมน้ำจะเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์นำไปเพาะได้ดี ส่วนเมล็ดลอยน้ำให้คัดทิ้งไป เมล็ดที่ดีจะนำไปเพาะเลยก็ได้ แต่อาจจะงอกช้า
1.4 วิธีเพาะเมล็ด วัสดุที่ใช้ในการเพาะที่ดีควรใช้ ทรายผสมกับขี้เถ้าแกลบ ใส่อัตราส่วน 1 ต่อ 1 และใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 902 (ปุ๋ยเทศบาล) ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วใส่ในกระบะเพาะ รดน้ำให้ชุ่ม แล้วนำเมล็ดที่แกะออกมาแล้ว มาปักชำลงในกระบะเพาะที่เตรียมไว้
การเพาะในภาชนะต่างๆ ให้ฝังเมล็ดลงไป 12 เมล็ด แล้วแต่ขนาดของภาชนะ ส่วนการเพาะในกระบะหรือในแปลงเพาะ ให้เพาะเป็นแถวๆ ห่างกัน 6-8 นิ้ว และแต่ละเมล็ดห่างกัน 6 นิ้ว การฝังเมล็ดควรให้ลึก
ประมาณ 2 นิ้ว โดยให้ด้านท้องของเมล็ดอยู่ด้านล่าง ตั้งส่วนท้องของเมล็ดเอียงเป็นมุมประมาณ 45 องศา ให้ส่วนหัวของเมล็ดขึ้นมาเหนือทรายในกระบะเพาะเล็กน้อย หรือประมาณ 1 ใน 4 ของควานยาวของเมล็ด จะทำให้เมล็ดงอกดี และต้นที่ได้ตั้งตรง เสร็จแล้วรดน้ำให้ชุ่ม และรดน้ำทุกวันถ้าฝนไม่ตก เมล็ดที่สมบูรณ์จะงอกภายใน 1 สัปดาห์ ถึงปะมาณ 20 วัน
หลังจากงอกแล้วประมาณ 3 เดือน นำต้นกล้าที่งอกนั้นไปชำในถุงพลาสติกขนาดเล็ก ประมาณ 4x6 นิ้ว ใส่ดินที่มีใบไม้ผุมากๆ หรือขุยมะพร้าวผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ 902 หลังจากปักชำอีกประมาณ 3-4 เดือน ต้นกล้ามะม่วงจะมีขนาดประมาณเท่าแท่งดินสอดำ ซื่งเป็นขนาดที่พอเหมาะในการนำไปทาบกิ่งมะม่วงพันธุ์ดีต่อไป ส่วนการขุดต้นเพื่อนำไปปลูกในสวนนั้น ควรรอให้ต้นโตได้ขนาดเสียก่อนจึงขุด หรืออาจขุดมาปลูกไว้ในกระถางเสียก่อน เพื่อความสะดวกในการขนย้ายหรือรอเวลาปลูก
1. การเพาะเมล็ดมะม่วง
โดยทั่วไป การเพาะเมล็ดมีจุดประสงค์สองประการคือ เพื่อใช้ปลูกโดยตรง และเพื่อใช้เป็นต้นตอสำหรับการขยายพันธุ์แบบต่างๆ เช่น การติดตา การทาบกิ่ง เป็นต้น การเพาะเมล็ดเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน ข้อดีของการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดคือ ทำได้ง่าย ได้จำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว ต้นมะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ด ต้นจะใหญ่โตมีอายุยืนนาน เพราะมีระบบรากที่แข็งแรง ส่วนข้อเสียคือ ออกดอกออกผลช้ากว่าการขยายพันธุ์ด้วยการติดตา การตอน หรือการทาบกิ่ง และต้นมะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ดนั้น อาจกลายพันธุ์ ไม่ตรงตามพันธุ์เดิมก็ได้ ซึ่งอาจดีกว่าหรือเลวกว่าพันธุ์เดิม กลายเป็นพันธุ์ใหม่ไป
1.1 การเพาะเมล็ด การเพาะเมล็ดจำนวนไม่มากนักอาจจะเพาะในกระบะหรือในภาชนะต่างๆ เช่น หม้อดิน กระถาง กระบอกไม้ไผ่ และถุงพลาสติก เป็นต้น ส่วนการเพาะเมล็ดจำนวนมากๆ ควรเพาะในแปลงเพาะชำเสียก่อน แล้วจึงขุดไปปลูก หรือนำไปทาบกิ่งต่อไป
1.2 การเก็บเมล็ดที่จะนำมาเพาะ ควรคัดเลือกเก็บจากต้นแม่ที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่แคระแกร็นที่จะเก็บมาต้องแก่จัด หรือสุกปากตะกร้อควรมีขนาดและน้ำหนักเท่าๆเมล็ดที่จะนำมาเพาะเพื่อใช้เป็นต้นตอ ควรเป็นเมล็ดของมะม่วงพันธุ์ที่แข็งแรงทานกะล่อนแก้วแดงร่องต้นมะม่วงพวกนี้จะแข็งแรง ทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆดี
1.3 การเตรียมเมล็ด แกะเมล็ดในมาเพาะ ให้ใช้มีดคมๆ ตัดปลายเมล็ดออกเล็กน้อย เพื่อให้เห็นช่องว่างภายใน รอยที่ตัดให้ค่อนไปทางด้านท้องของเมล็ด แล้วฉีกเปลือกของเมล็ดนอกออกเป็น 2 ซีก แล้วเอาเมล็ดที่อยู่ภายในซึ่งมีเยื่อบางๆ หุ้มอยู่ออกมาทำการเพาะ วิธีนี้จะช่วยให้เมล็ดโปร่ง อากาศ และน้ำเข้าไปในเมล็ดได้ง่าย เมล็ดงอกได้เร็ว และถ้ามีแรงงานพอ ให้แกะเอาเปลือกแข็งที่หุ้มเมล็ดออกทั้งหมด เอาแต่เนื้อข้างในไปเพาะ ก็จะทำให้งอกได้ดียิ่งขึ้นอีก
เมล็ดที่เอาเนื้อออกแล้ว ให้รีบเพาะภายใน 1 สัปดาห์ ไม่ควรเก็บไว้นานเกินกว่า 1 เดือน จะเพาะไม่งอก หรือถ้างอกต้นก็จะไม่ค่อยแข็งแรง การทิ้งเมล็ดให้โดนแดดโดนลมจะทำให้ความงอกเสียไป เมื่อได้เมล็ดมาแล้ว ควรคัดเมล็ดโดยการนำเมล็ดไปแช่น้ำ เมล็ดที่จมน้ำจะเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์นำไปเพาะได้ดี ส่วนเมล็ดลอยน้ำให้คัดทิ้งไป เมล็ดที่ดีจะนำไปเพาะเลยก็ได้ แต่อาจจะงอกช้า
1.4 วิธีเพาะเมล็ด วัสดุที่ใช้ในการเพาะที่ดีควรใช้ ทรายผสมกับขี้เถ้าแกลบ ใส่อัตราส่วน 1 ต่อ 1 และใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 902 (ปุ๋ยเทศบาล) ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วใส่ในกระบะเพาะ รดน้ำให้ชุ่ม แล้วนำเมล็ดที่แกะออกมาแล้ว มาปักชำลงในกระบะเพาะที่เตรียมไว้
การเพาะในภาชนะต่างๆ ให้ฝังเมล็ดลงไป 12 เมล็ด แล้วแต่ขนาดของภาชนะ ส่วนการเพาะในกระบะหรือในแปลงเพาะ ให้เพาะเป็นแถวๆ ห่างกัน 6-8 นิ้ว และแต่ละเมล็ดห่างกัน 6 นิ้ว การฝังเมล็ดควรให้ลึก
ประมาณ 2 นิ้ว โดยให้ด้านท้องของเมล็ดอยู่ด้านล่าง ตั้งส่วนท้องของเมล็ดเอียงเป็นมุมประมาณ 45 องศา ให้ส่วนหัวของเมล็ดขึ้นมาเหนือทรายในกระบะเพาะเล็กน้อย หรือประมาณ 1 ใน 4 ของควานยาวของเมล็ด จะทำให้เมล็ดงอกดี และต้นที่ได้ตั้งตรง เสร็จแล้วรดน้ำให้ชุ่ม และรดน้ำทุกวันถ้าฝนไม่ตก เมล็ดที่สมบูรณ์จะงอกภายใน 1 สัปดาห์ ถึงปะมาณ 20 วัน
หลังจากงอกแล้วประมาณ 3 เดือน นำต้นกล้าที่งอกนั้นไปชำในถุงพลาสติกขนาดเล็ก ประมาณ 4x6 นิ้ว ใส่ดินที่มีใบไม้ผุมากๆ หรือขุยมะพร้าวผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ 902 หลังจากปักชำอีกประมาณ 3-4 เดือน ต้นกล้ามะม่วงจะมีขนาดประมาณเท่าแท่งดินสอดำ ซื่งเป็นขนาดที่พอเหมาะในการนำไปทาบกิ่งมะม่วงพันธุ์ดีต่อไป ส่วนการขุดต้นเพื่อนำไปปลูกในสวนนั้น ควรรอให้ต้นโตได้ขนาดเสียก่อนจึงขุด หรืออาจขุดมาปลูกไว้ในกระถางเสียก่อน เพื่อความสะดวกในการขนย้ายหรือรอเวลาปลูก
Monday, 1 August 2016
เทคนิคการดูแลมะม่วง ให้ผลดก ตลอดปี
เทคนิคการดูแลมะม่วง ให้ผลดก ตลอดปี
การดูแลต้นมะม่วงให้ออกดอกติดผลอย่างสม่ำเสมอตามฤดูกาล จำเป็นต้องเข้าใจธรรมชาติในการเจริญเติบโต และสภาวะที่ต้นมะม่วงต้องการในการสร้างตาดอก การใส่ปุ๋ยและให้น้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปีเป็นผลให้มะม่วงเจริญเติบโตทางด้านกิ่งและใบมากเกินไป เรียกว่า “ เฝือใบ ” จะสังเกตเห็นว่าลำต้น กิ่ง ใบ เจริญงอกงามดี แต่ไม่ผลิตาดอก ทั้งนี้เพราะปัจจัยที่ทำให้ต้นมะม่วงแทงช่อดอกนั้น ขึ้นอยู่กับสัดส่วนของปริมาณสารประกอบคาร์โบไฮเดรตและไนโตรเจนที่สะสมอยู่ที่ใบและยอดมีปริมาณพอเหมาะ กล่าวคือจะต้องมีปริมาณสารประกอบคาร์โบไฮเดรตสูงกว่าสารประกอบไนโตรเจน ปริมาณสัดส่วนของสารประกอบดังกล่าวจะมากน้อยกว่ากันเพียงใดจึงจะเกิดตาดอกนั้นขึ้นอยู่กับมะม่วงแต่ละสายพันธุ์ แต่ถ้ามีการสะสมปริมาณสารประกอบไนโตรเจนสูงกว่าคาร์โบไฮเดรต พืชจะเจริญทางด้านกิ่งใบและแตกใบอ่อน โดยธรรมชาติแล้ว ต้นมะม่วงต้องการปุ๋ยและน้ำในช่วงหลังการเก็บเกี่ยวผลและตัดแต่งกิ่งแล้ว เพื่อเป็นการเร่งให้มะม่วงแตกใบอ่อนให้เร็วที่สุด การให้ปุ๋ยในช่วงนี้อาจทำสองระยะ ห่างกันประมาณหนึ่งเดือน พร้อมการดูแลให้น้ำอย่างเพียงพอ มะม่วงจะแตกใบอ่อนสองสามชุด เมื่อหมดฝน ควรงดการให้ปุ๋ยและลดการให้น้ำลง การขาดน้ำในขีดจำกัดจะทำให้ต้นมะม่วงหยุดการเจริญทางด้านกิ่งและใบ เรียกว่า quot ระยะพักตัว ” ช่วงนี้มักเป็นระยะฤดูฝนทิ้งช่วงและย่างเข้าฤดูหนาว ซึ่งต้นมะม่วงจะได้สะสมคาร์โบไฮเดรตให้อยู่ในปริมาณสูงกว่าไนโตรเจน สภาพความชื้นในดินที่ลดลงนี้ทำให้การงดซึมน้ำขึ้นไปใช้ในลำต้นน้อยลง ไนโตรเจนจากรากถูกลำเลียงขึ้นไปสู่ยอดและใบได้น้อยลงด้วย ขณะเดียวกันปริมาณน้ำในลำต้นน้อย ทำให้ความเข้มข้นของคาร์โบไฮเดรตและฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการออกดอกมากพอแก่การกระตุ้นการสร้างตาดอก ระยะนี้จึงสังเกตเห็นต้นมะม่วงมียอดอวบ กิ่งอ้วนกลม ใบแข็ง หนา เมื่อขยำใบมะม่วงจะรู้สึกว่าแข็งและกรอบ สภาพดังกล่าวแสดงว่าต้นมะม่วงพร้อมจะผลิดอกแล้ว แสงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการผลิดอก ปัญหาที่มักเกิดขึ้นคือ ทรงพุ่มของต้นมะม่วงหนาทึบเกินไปเพราะไม่ได้รับการตัดแต่งกิ่ง ทำให้แสงไม่สามารถส่องไปทั่วทุกส่วนของกิ่งและใบในทรงพุ่ม ในสภาพเช่นนี้การสร้างตาดอกก็จะน้อยลงด้วย ฉะนั้นจึงควรตัดกิ่งหลังการเก็บเกี่ยวผลแล้ว เพื่อให้แสงสว่างส่องได้ทุกส่วนของทรงพุ่ม ใบมะม่วงทุกใบได้มีการสังเคราะห์แสงอย่างเต็มที่ และเป็นการทำลายที่อยู่อาศัยของแมลงที่ชอบหลบซ่อนอยู่ในส่วนที่ใบหนาทึบ ซึ่งแสงแดดส่องไปไม่ถึงอีกด้วย ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการผลิดอกออกผลของมะม่วงตามที่ได้กล่าวแล้วนั้น สามารถควบคุมเพื่อให้มะม่วงออกตอกตามฤดูกาลได้ โดยต้องเตรียมการตั้งแต่หลังฤดูการเก็บเกี่ยว ตามปรกติมะม่วงจะเก็บเกี่ยวผลได้ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน หลังการเก็บเกี่ยวแล้วควรตัดแต่งกิ่งในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ควรตัดกิ่งออกร้อยละ ๒๐-๓๐ ของจำนวนกิ่งเดิม ต่อจากนั้นจึงให้ปุ๋ยและน้ำสม่ำเสมอ อาจใช้ปุ๋ยคอกร่วมกับปุ๋ยเคมีก็ได้มะม่วงจะแตกยอดอ่อนติดต่อกันประมาณสองสามชุดในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน ก่อนหมดฤดูฝนใบอ่อนชุดสุดท้ายจะเริ่มแก่ ควรงดให้น้ำและปุ๋ย เพื่อให้มะม่วงเข้าสู่ระยะพักตัวเพื่อสะสมอาหาร ในระยะนี้จะสังเกตเห็นใบมะม่วงมีสีเขียวเข้ม ใบหนาและแข็ง ประกอบกับย่างเข้าสู่ช่วงต้นของฤดูหนาวอากาศเย็นจะกระตุ้นให้มะม่วงผลิตาดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคม แต่ถ้ามีฝนตกในช่วงนี้ประกอบกับมีไนโตรเจนในดินสูง มะม่วงจะดูดซึมธาตุอาหารไนโตรเจนอย่างรวดเร็ว อาจทำให้แตกยอดอ่อน วิธีแก้ไขคือต้องลดปริมาณธาตุอาหารไนโตรเจนในดินโดยการใส่ปุ๋ยสูตรที่มีเฉพาะโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน เพื่อช่วยเหนี่ยวนำให้ในโตรเจนที่หลงเหลืออยู่ในดินถูกลำเลียงไปใช้ในการแตกยอดอ่อน ตามะม่วงซึ่งจะเจริญเป็นตาดอกนั้นจะมีลักษณะอวบอ้วนเป็นจะงอยเด่นชัด ส่วนตาที่จะเจริญไปเป็นยอดและใบจะมีลักษณะผอมและตั้งตรง นอกจากการดูแลดังว่านี้แล้ว “ ซองคำถาม quot เคยเห็นเพื่อนบ้านใช้วิธีรมควันต้นมะม่วง ซึ่งเป็นวิธีโบราณ ควรกระทำในช่วงที่ใบมะม่วงสะสมอาหารไว้เต็มที่แล้ว การรมควันจะเร่งให้ใบแก่ของมะม่วงหลุดร่วงก่อนเวลาปรกติ ก่อนที่ใบจะร่วง อาหารที่สะสมที่ใบจะเคลื่อนย้ายกลับไปสะสมที่ปลายยอด ทำให้มีสภาพเหมาะสมแก่การผลิตาดอก นอกจากนี้ยังพบว่า ในควันไฟมีแก๊สเอทิลีน ethylene ซึ่งเป็นสารตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้มะม่วงออกดอกอีกด้วย สำหรับวัสดุที่ใช้ในการสุมไฟ ได้แก่ ใบไม้แห้ง กิ่งไม้ แกลบ และเศษวัชพืช “ ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม สำนักพิมพ์สารคดี ”
การดูแลต้นมะม่วงให้ออกดอกติดผลอย่างสม่ำเสมอตามฤดูกาล จำเป็นต้องเข้าใจธรรมชาติในการเจริญเติบโต และสภาวะที่ต้นมะม่วงต้องการในการสร้างตาดอก การใส่ปุ๋ยและให้น้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปีเป็นผลให้มะม่วงเจริญเติบโตทางด้านกิ่งและใบมากเกินไป เรียกว่า “ เฝือใบ ” จะสังเกตเห็นว่าลำต้น กิ่ง ใบ เจริญงอกงามดี แต่ไม่ผลิตาดอก ทั้งนี้เพราะปัจจัยที่ทำให้ต้นมะม่วงแทงช่อดอกนั้น ขึ้นอยู่กับสัดส่วนของปริมาณสารประกอบคาร์โบไฮเดรตและไนโตรเจนที่สะสมอยู่ที่ใบและยอดมีปริมาณพอเหมาะ กล่าวคือจะต้องมีปริมาณสารประกอบคาร์โบไฮเดรตสูงกว่าสารประกอบไนโตรเจน ปริมาณสัดส่วนของสารประกอบดังกล่าวจะมากน้อยกว่ากันเพียงใดจึงจะเกิดตาดอกนั้นขึ้นอยู่กับมะม่วงแต่ละสายพันธุ์ แต่ถ้ามีการสะสมปริมาณสารประกอบไนโตรเจนสูงกว่าคาร์โบไฮเดรต พืชจะเจริญทางด้านกิ่งใบและแตกใบอ่อน โดยธรรมชาติแล้ว ต้นมะม่วงต้องการปุ๋ยและน้ำในช่วงหลังการเก็บเกี่ยวผลและตัดแต่งกิ่งแล้ว เพื่อเป็นการเร่งให้มะม่วงแตกใบอ่อนให้เร็วที่สุด การให้ปุ๋ยในช่วงนี้อาจทำสองระยะ ห่างกันประมาณหนึ่งเดือน พร้อมการดูแลให้น้ำอย่างเพียงพอ มะม่วงจะแตกใบอ่อนสองสามชุด เมื่อหมดฝน ควรงดการให้ปุ๋ยและลดการให้น้ำลง การขาดน้ำในขีดจำกัดจะทำให้ต้นมะม่วงหยุดการเจริญทางด้านกิ่งและใบ เรียกว่า quot ระยะพักตัว ” ช่วงนี้มักเป็นระยะฤดูฝนทิ้งช่วงและย่างเข้าฤดูหนาว ซึ่งต้นมะม่วงจะได้สะสมคาร์โบไฮเดรตให้อยู่ในปริมาณสูงกว่าไนโตรเจน สภาพความชื้นในดินที่ลดลงนี้ทำให้การงดซึมน้ำขึ้นไปใช้ในลำต้นน้อยลง ไนโตรเจนจากรากถูกลำเลียงขึ้นไปสู่ยอดและใบได้น้อยลงด้วย ขณะเดียวกันปริมาณน้ำในลำต้นน้อย ทำให้ความเข้มข้นของคาร์โบไฮเดรตและฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการออกดอกมากพอแก่การกระตุ้นการสร้างตาดอก ระยะนี้จึงสังเกตเห็นต้นมะม่วงมียอดอวบ กิ่งอ้วนกลม ใบแข็ง หนา เมื่อขยำใบมะม่วงจะรู้สึกว่าแข็งและกรอบ สภาพดังกล่าวแสดงว่าต้นมะม่วงพร้อมจะผลิดอกแล้ว แสงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการผลิดอก ปัญหาที่มักเกิดขึ้นคือ ทรงพุ่มของต้นมะม่วงหนาทึบเกินไปเพราะไม่ได้รับการตัดแต่งกิ่ง ทำให้แสงไม่สามารถส่องไปทั่วทุกส่วนของกิ่งและใบในทรงพุ่ม ในสภาพเช่นนี้การสร้างตาดอกก็จะน้อยลงด้วย ฉะนั้นจึงควรตัดกิ่งหลังการเก็บเกี่ยวผลแล้ว เพื่อให้แสงสว่างส่องได้ทุกส่วนของทรงพุ่ม ใบมะม่วงทุกใบได้มีการสังเคราะห์แสงอย่างเต็มที่ และเป็นการทำลายที่อยู่อาศัยของแมลงที่ชอบหลบซ่อนอยู่ในส่วนที่ใบหนาทึบ ซึ่งแสงแดดส่องไปไม่ถึงอีกด้วย ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการผลิดอกออกผลของมะม่วงตามที่ได้กล่าวแล้วนั้น สามารถควบคุมเพื่อให้มะม่วงออกตอกตามฤดูกาลได้ โดยต้องเตรียมการตั้งแต่หลังฤดูการเก็บเกี่ยว ตามปรกติมะม่วงจะเก็บเกี่ยวผลได้ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน หลังการเก็บเกี่ยวแล้วควรตัดแต่งกิ่งในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ควรตัดกิ่งออกร้อยละ ๒๐-๓๐ ของจำนวนกิ่งเดิม ต่อจากนั้นจึงให้ปุ๋ยและน้ำสม่ำเสมอ อาจใช้ปุ๋ยคอกร่วมกับปุ๋ยเคมีก็ได้มะม่วงจะแตกยอดอ่อนติดต่อกันประมาณสองสามชุดในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน ก่อนหมดฤดูฝนใบอ่อนชุดสุดท้ายจะเริ่มแก่ ควรงดให้น้ำและปุ๋ย เพื่อให้มะม่วงเข้าสู่ระยะพักตัวเพื่อสะสมอาหาร ในระยะนี้จะสังเกตเห็นใบมะม่วงมีสีเขียวเข้ม ใบหนาและแข็ง ประกอบกับย่างเข้าสู่ช่วงต้นของฤดูหนาวอากาศเย็นจะกระตุ้นให้มะม่วงผลิตาดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคม แต่ถ้ามีฝนตกในช่วงนี้ประกอบกับมีไนโตรเจนในดินสูง มะม่วงจะดูดซึมธาตุอาหารไนโตรเจนอย่างรวดเร็ว อาจทำให้แตกยอดอ่อน วิธีแก้ไขคือต้องลดปริมาณธาตุอาหารไนโตรเจนในดินโดยการใส่ปุ๋ยสูตรที่มีเฉพาะโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน เพื่อช่วยเหนี่ยวนำให้ในโตรเจนที่หลงเหลืออยู่ในดินถูกลำเลียงไปใช้ในการแตกยอดอ่อน ตามะม่วงซึ่งจะเจริญเป็นตาดอกนั้นจะมีลักษณะอวบอ้วนเป็นจะงอยเด่นชัด ส่วนตาที่จะเจริญไปเป็นยอดและใบจะมีลักษณะผอมและตั้งตรง นอกจากการดูแลดังว่านี้แล้ว “ ซองคำถาม quot เคยเห็นเพื่อนบ้านใช้วิธีรมควันต้นมะม่วง ซึ่งเป็นวิธีโบราณ ควรกระทำในช่วงที่ใบมะม่วงสะสมอาหารไว้เต็มที่แล้ว การรมควันจะเร่งให้ใบแก่ของมะม่วงหลุดร่วงก่อนเวลาปรกติ ก่อนที่ใบจะร่วง อาหารที่สะสมที่ใบจะเคลื่อนย้ายกลับไปสะสมที่ปลายยอด ทำให้มีสภาพเหมาะสมแก่การผลิตาดอก นอกจากนี้ยังพบว่า ในควันไฟมีแก๊สเอทิลีน ethylene ซึ่งเป็นสารตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้มะม่วงออกดอกอีกด้วย สำหรับวัสดุที่ใช้ในการสุมไฟ ได้แก่ ใบไม้แห้ง กิ่งไม้ แกลบ และเศษวัชพืช “ ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม สำนักพิมพ์สารคดี ”
Thursday, 28 July 2016
มะม่วงแก้วขมิ้น แคลอรี่
มะม่วงแก้วขมิ้น แคลอรี่
ข้อมูลโภชนาการ
ปริมาณของอาหาร : 1 x 100 กรัม
คุณค่าอาหารที่ได้รับ
Calories : 93
Fat : 0.1 g (65 g)*
Carbohydrate : 22.4 g (300 g)*
Protein : 0.6 g (50 g)*
*ปริมาณสารอาหารที่แนะนำไม่ให้รับเกินต่อวัน อ้างอิงจากคนที่ต้องการ 2,000แคลอรี่/
จะเห็นได้ว่ามะม่วงมีปริมาณแคลอรี่ที่น้อยมาก เมื่อเที่ยบกับปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ล่ะวัน เหมาะกับการลดความอ้วน หรือควบคุมน้ำหนักนะจ๊ะ.
ข้อมูลโภชนาการ
ปริมาณของอาหาร : 1 x 100 กรัม
คุณค่าอาหารที่ได้รับ
Calories : 93
Fat : 0.1 g (65 g)*
Carbohydrate : 22.4 g (300 g)*
Protein : 0.6 g (50 g)*
*ปริมาณสารอาหารที่แนะนำไม่ให้รับเกินต่อวัน อ้างอิงจากคนที่ต้องการ 2,000แคลอรี่/
จะเห็นได้ว่ามะม่วงมีปริมาณแคลอรี่ที่น้อยมาก เมื่อเที่ยบกับปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ล่ะวัน เหมาะกับการลดความอ้วน หรือควบคุมน้ำหนักนะจ๊ะ.
Thursday, 21 July 2016
มะม่วงแก้วขมิ้น ราคา
เทคโนโลยีการเกษตร
สาวบางแค
"มะม่วงแก้วขมิ้น" ขายดี ที่ตลาดไท
มะม่วงแก้วละเมียด ของกัมพูชา ที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า "มะม่วงแก้วขมิ้น หรือแก้วเขมร" มีลักษณะเด่นคือ รับประทานได้อร่อย ทั้งผลดิบและสุก เนื้อแน่นละเอียด มีสีเหลืองคล้ายขมิ้น เนื้อกรอบมัน รสหวานปนเปรี้ยว ผลดิบเหมาะสำหรับรับประทานกับน้ำปลาหวาน หรือนำมาปรุงรสชาติในเมนูอาหารได้หลายชนิด เช่น ยำมะม่วง ส้มตำมะม่วง ฯลฯ ส่วนมะม่วงผลแก่ หากนำไปบ่มให้สุก จะมีรสชาติหวานอร่อย ทำให้มะม่วงพันธุ์นี้เป็นที่ยอมรับของคนไทยอย่างกว้างขวาง
ปัจจุบัน "ตลาดไท" นับเป็นแหล่งใหญ่ที่มีการนำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นเข้ามาขายในไทย ก่อนจะกระจายผลผลิตออกไปทั่วประเทศ ในฉบับนี้ จึงขอไปเยี่ยมชมบรรยากาศการซื้อขายมะม่วงแก้วขมิ้น พร้อมพูดคุยกับแม่ค้าพ่อค้าชาวกัมพูชารายใหญ่ ที่นำมะม่วงแก้วขมิ้นเข้ามาขายในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง
คุยกับ "เฮง เทียว" บุกเบิกนำเข้าแก้วขมิ้นมาขายไทย
"วัน เซียง เฮง" หรือ "เฮง เทียว" แม่ค้าชาวกัมพูชา วัย 23 ปี ที่คนไทยเรียกติดปากว่า "เจ๊เฮง" ปัจจุบันเป็นเอเย่นต์รายใหญ่ที่นำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นจากประเทศกัมพูชาเข้ามาขายที่เมืองไทย โดยเธอเปิดหน้าร้านขายมะม่วงแก้วขมิ้น อยู่ที่ตลาดไท ในชื่อ ร้าน เฮง+ที 144 โทร. (087) 496-1444, (082) 445-5419
คุณเฮง เทียว และสามีเข้ามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่เมื่อ 12 ปีที่แล้ว โดยช่วงแรกสามีเธอจะซื้อสินค้าเกษตรและอาหารจากเมืองไทยส่งเข้าไปขายที่ประเทศกัมพูชา โดยตีรถเปล่าวิ่งจากกัมพูชาเข้าไทยเพื่อมาซื้อสินค้าในแต่ละครั้ง ก็รู้สึกไม่คุ้ม เมื่อ 6 ปีก่อน มีแม่ค้าคนไทยรายหนึ่งชื่อ เจ๊พร ได้นำเข้ามะม่วงพันธุ์ท้องถิ่นของกัมพูชา ชื่อว่า "มะม่วงแก้วละเมียด" มาทดลองขายที่ตลาดไท ปรากฏว่าขายดี เจ๊เฮงจึงทดลองนำมะม่วงแก้วละเมียดเข้ามาขายบ้าง วันละ 20 ลัง ปรากฏว่า ขายดีไม่แพ้กัน เจ๊พรหยุดนำเข้ามะม่วงแก้วละเมียดไปแล้ว แต่เจ๊เฮงยังนำเข้ามะม่วงเข้ามาขายตลอด แถมมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นทุกปี
เจ๊เฮงนำมะม่วงแก้วขมิ้นจากกัมพูชาเข้ามาขายตลอดทั้งปี โดยจะวิ่งรถบรรทุกสิบล้อขนมะม่วงจากกัมพูชาเข้ามาขายที่ตลาดไททุกวัน ส่วนเที่ยวกลับจะซื้อผลไม้สดจากตลาดไท เช่น มะยงชิด แอปเปิ้ล องุ่น ฯลฯ ส่งกลับไปขายที่กรุงพนมเปญ วันละ 10 ตัน
"เราเปิดล้งรวบรวมผลผลิตที่คีรีรมย์ จังหวัดกัมปงสะปือ ปกติจะใช้รถบรรทุกสิบล้อขนส่งมะม่วงจากกัมพูชาถึงไทยประมาณ 10 โมงกว่า แต่ละวันจะออกเดินทางจากกัมพูชาในช่วงกลางคืน เวลา 2-3 ทุ่ม รถบรรทุกขับถึงชายแดนไทย ประมาณ 7 โมง บริเวณด่านช่องผักกาด จังหวัดจันทบุรี หลังจากนั้น จะใช้เวลาขนส่งสินค้าถึงตลาดไท ประมาณบ่ายโมง" เจ๊เฮง กล่าว
ช่วงฤดูมะม่วงแก้วขมิ้นออกเยอะ เจ๊เฮงจะใช้รถสิบล้อ 2 คัน รถหกล้อ 2 คัน ขนส่งมะม่วงจากกัมพูชามาขายที่ตลาดไท มากสุดถึงวันละ 37.5 ตัน ช่วงปลายฤดู ผลผลิตเข้าตลาดน้อยลง เหลือแค่วันละ 20 ตัน ลูกค้าขาประจำ นอกจากแม่ค้าพ่อค้าคนไทยแล้ว ยังมีลูกค้ามาสั่งซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นจากร้านเจ๊เฮง เพื่อส่งไปขายประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่างเช่น เวียดนาม มาเลเซีย และจีน อีกด้วย
เจ๊เฮง บอกว่า ที่ผ่านมา เธอทำหน้าที่ขายมะม่วงอยู่ที่เมืองไทย ส่วนสามีทำหน้าที่รับซื้อและรวบรวมผลผลิตจากแหล่งใหญ่คือ เขาคีรีรมย์ จังหวัดกัมปงสะปือ อยู่ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางตะวันตกเฉียงใต้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตที่ราบสูง เรียกว่า "โซนภูเขา" มีราคาแพงสุดในกัมพูชา เพราะมะม่วงแก่ของคีรีรมย์มีรสชาติเข้มข้น อร่อยสุดๆ แถมมีกลิ่นหอม มะม่วงจากแหล่งนี้มีลักษณะเด่นที่สังเกตได้ง่ายคือ ผิวเขียวนวลสวย ลักษณะเปลือกหนา ทนทานต่อการขนส่ง
นอกจากนี้ เจ๊เฮงยังรับซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นที่ปลูกในเขตที่ราบ เรียกว่า "โซนทะเล" มะม่วงที่ปลูกในแหล่งนี้ เกษตรกรนิยมเก็บผลอ่อนออกขายเป็นหลัก จึงมีรสชาติจืด และไม่มีกลิ่นหอมเหมือนมะม่วงที่ปลูกในโซนภูเขา แถมผิวบอบบางกว่า ช้ำได้ง่าย เมื่อขนส่งไปขายที่ไกลๆ
มะม่วงแก้วขมิ้นที่นำเข้ามาจากกัมพูชา จะนำมาคัดเกรดเป็น 3 กลุ่ม คือ มะม่วงแก่ ผิวสีเหลือง มะม่วงลาย ผิวมีรอยตำหนิ และมะม่วงอ่อน ผิวมีสีขาว เจ๊เฮงจะขายส่งให้แก่ลูกค้า ครั้งละไม่ต่ำกว่า 10 ลัง ในราคากิโลกรัมละ 12 บาท มะม่วงลาย 10 บาท/กิโลกรัม มะม่วงอ่อน 11 บาท/กิโลกรัม ปัจจุบันลูกค้าคนไทยนิยมซื้อมะม่วงแก่มากเป็นอันดับหนึ่ง
ปัจจุบัน เจ๊เฮงนอกจากสวมบทบาทเป็นแม่ค้าขายมะม่วงแล้ว ยังเป็นเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงแก้วขมิ้นอีกด้วย เธอบอกว่า หลังจากคนไทยหันมาตื่นตัวสนใจบริโภคมะม่วงแก้วขมิ้นกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สามีเธอตัดสินใจลงทุนทำสวนมะม่วงแก้วขมิ้นที่เขาคีรีรมย์ จังหวัดกัมปงสะปือ ปลูกมะม่วงแก้วขมิ้นประมาณ 10,000 ต้น ใช้เวลาปลูกประมาณ 2-3 ปี ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตออกขายได้แล้ว
ทั้งนี้ ต้นมะม่วงแก้วขมิ้น มีลักษณะโดยทั่วไปคล้ายกับมะม่วงสายพันธุ์อื่นๆ ลำต้นสูง 3-6 เมตร ใบแหลมยาว โคนมน ดอกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกมีกลิ่นหอม ผลมีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลูกใหญ่กว่ามะม่วงแก้วพันธุ์ดั้งเดิมของไทย ส่วนรสชาติก็คล้ายมะม่วงแก้วไทย แต่มีรสเปรี้ยวน้อยกว่าและไม่มีกลิ่นขี้ไต้ เมล็ดมีขนาดเล็ก ปริมาณเนื้อมาก เนื้อแน่น ติดผลเป็นพวง 5-10 ผล ผลมีขนาดใหญ่ ให้ผลดกเต็มต้นตลอดทั้งปี โดยปกติต้นมะม่วงแก้วขมิ้นจะมีระยะพักต้น ปีละ 3 เดือน ในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม มะม่วงชนิดนี้สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี เช่น เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และทาบกิ่ง
จุดเด่นของมะม่วงพันธุ์นี้คือ เป็นพันธุ์มะม่วงที่ติดผลง่าย ให้ผลดกตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องใช้วิธีบังคับให้ติดผลนอกฤดูเช่นเดียวกับมะม่วงสายพันธุ์อื่นๆ ทำให้เกษตรกรกัมพูชาที่ปลูกมะม่วงสายพันธุ์นี้ สามารถเก็บผลผลิตออกขายได้เกือบทั้งปี มะม่วงชนิดนี้มีเนื้อในสีเหลืองขมิ้น ผลดิบที่ไม่ค่อยแก่ สีเนื้อจะไม่ค่อยเหลืองเท่าไหร่ แต่ผลดิบแก่ เนื้อจะออกสีเหลืองเหมือนขมิ้น ยิ่งแก่มากยิ่งสีเหลืองมาก ผลสุกมีรสหวาน แต่ผู้บริโภคนิยมรับประทานดิบมากกว่า
"คนกัมพูชา ชอบทานมะม่วงแก้วขมิ้นกับน้ำปลาหวานเช่นเดียวกับคนไทย โดยใช้เกลือตำกับพริกและกะปิ ราคาขายมะม่วงแก้วขมิ้นที่ขายในท้องถิ่น ตกประมาณลูกละ 8 บาท ส่งมาขายในเมืองไทยได้กำไรดีกว่ามาก ทุกวันนี้ เธอมีกำไรจากการขายมะม่วงแก้วขมิ้น เพียง 1 บาท/กิโลกรัม อาศัยขายสินค้าในปริมาณมาก ก็ยังมีกำไรพอเลี้ยงตัวเองอยู่ได้" เจ๊เฮง กล่าว
เครดิตคัดลอกข้อความมาจาก http://info.matichon.co.th/
สาวบางแค
"มะม่วงแก้วขมิ้น" ขายดี ที่ตลาดไท
มะม่วงแก้วละเมียด ของกัมพูชา ที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า "มะม่วงแก้วขมิ้น หรือแก้วเขมร" มีลักษณะเด่นคือ รับประทานได้อร่อย ทั้งผลดิบและสุก เนื้อแน่นละเอียด มีสีเหลืองคล้ายขมิ้น เนื้อกรอบมัน รสหวานปนเปรี้ยว ผลดิบเหมาะสำหรับรับประทานกับน้ำปลาหวาน หรือนำมาปรุงรสชาติในเมนูอาหารได้หลายชนิด เช่น ยำมะม่วง ส้มตำมะม่วง ฯลฯ ส่วนมะม่วงผลแก่ หากนำไปบ่มให้สุก จะมีรสชาติหวานอร่อย ทำให้มะม่วงพันธุ์นี้เป็นที่ยอมรับของคนไทยอย่างกว้างขวาง
ปัจจุบัน "ตลาดไท" นับเป็นแหล่งใหญ่ที่มีการนำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นเข้ามาขายในไทย ก่อนจะกระจายผลผลิตออกไปทั่วประเทศ ในฉบับนี้ จึงขอไปเยี่ยมชมบรรยากาศการซื้อขายมะม่วงแก้วขมิ้น พร้อมพูดคุยกับแม่ค้าพ่อค้าชาวกัมพูชารายใหญ่ ที่นำมะม่วงแก้วขมิ้นเข้ามาขายในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง
คุยกับ "เฮง เทียว" บุกเบิกนำเข้าแก้วขมิ้นมาขายไทย
"วัน เซียง เฮง" หรือ "เฮง เทียว" แม่ค้าชาวกัมพูชา วัย 23 ปี ที่คนไทยเรียกติดปากว่า "เจ๊เฮง" ปัจจุบันเป็นเอเย่นต์รายใหญ่ที่นำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นจากประเทศกัมพูชาเข้ามาขายที่เมืองไทย โดยเธอเปิดหน้าร้านขายมะม่วงแก้วขมิ้น อยู่ที่ตลาดไท ในชื่อ ร้าน เฮง+ที 144 โทร. (087) 496-1444, (082) 445-5419
คุณเฮง เทียว และสามีเข้ามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่เมื่อ 12 ปีที่แล้ว โดยช่วงแรกสามีเธอจะซื้อสินค้าเกษตรและอาหารจากเมืองไทยส่งเข้าไปขายที่ประเทศกัมพูชา โดยตีรถเปล่าวิ่งจากกัมพูชาเข้าไทยเพื่อมาซื้อสินค้าในแต่ละครั้ง ก็รู้สึกไม่คุ้ม เมื่อ 6 ปีก่อน มีแม่ค้าคนไทยรายหนึ่งชื่อ เจ๊พร ได้นำเข้ามะม่วงพันธุ์ท้องถิ่นของกัมพูชา ชื่อว่า "มะม่วงแก้วละเมียด" มาทดลองขายที่ตลาดไท ปรากฏว่าขายดี เจ๊เฮงจึงทดลองนำมะม่วงแก้วละเมียดเข้ามาขายบ้าง วันละ 20 ลัง ปรากฏว่า ขายดีไม่แพ้กัน เจ๊พรหยุดนำเข้ามะม่วงแก้วละเมียดไปแล้ว แต่เจ๊เฮงยังนำเข้ามะม่วงเข้ามาขายตลอด แถมมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นทุกปี
เจ๊เฮงนำมะม่วงแก้วขมิ้นจากกัมพูชาเข้ามาขายตลอดทั้งปี โดยจะวิ่งรถบรรทุกสิบล้อขนมะม่วงจากกัมพูชาเข้ามาขายที่ตลาดไททุกวัน ส่วนเที่ยวกลับจะซื้อผลไม้สดจากตลาดไท เช่น มะยงชิด แอปเปิ้ล องุ่น ฯลฯ ส่งกลับไปขายที่กรุงพนมเปญ วันละ 10 ตัน
"เราเปิดล้งรวบรวมผลผลิตที่คีรีรมย์ จังหวัดกัมปงสะปือ ปกติจะใช้รถบรรทุกสิบล้อขนส่งมะม่วงจากกัมพูชาถึงไทยประมาณ 10 โมงกว่า แต่ละวันจะออกเดินทางจากกัมพูชาในช่วงกลางคืน เวลา 2-3 ทุ่ม รถบรรทุกขับถึงชายแดนไทย ประมาณ 7 โมง บริเวณด่านช่องผักกาด จังหวัดจันทบุรี หลังจากนั้น จะใช้เวลาขนส่งสินค้าถึงตลาดไท ประมาณบ่ายโมง" เจ๊เฮง กล่าว
ช่วงฤดูมะม่วงแก้วขมิ้นออกเยอะ เจ๊เฮงจะใช้รถสิบล้อ 2 คัน รถหกล้อ 2 คัน ขนส่งมะม่วงจากกัมพูชามาขายที่ตลาดไท มากสุดถึงวันละ 37.5 ตัน ช่วงปลายฤดู ผลผลิตเข้าตลาดน้อยลง เหลือแค่วันละ 20 ตัน ลูกค้าขาประจำ นอกจากแม่ค้าพ่อค้าคนไทยแล้ว ยังมีลูกค้ามาสั่งซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นจากร้านเจ๊เฮง เพื่อส่งไปขายประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่างเช่น เวียดนาม มาเลเซีย และจีน อีกด้วย
เจ๊เฮง บอกว่า ที่ผ่านมา เธอทำหน้าที่ขายมะม่วงอยู่ที่เมืองไทย ส่วนสามีทำหน้าที่รับซื้อและรวบรวมผลผลิตจากแหล่งใหญ่คือ เขาคีรีรมย์ จังหวัดกัมปงสะปือ อยู่ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางตะวันตกเฉียงใต้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตที่ราบสูง เรียกว่า "โซนภูเขา" มีราคาแพงสุดในกัมพูชา เพราะมะม่วงแก่ของคีรีรมย์มีรสชาติเข้มข้น อร่อยสุดๆ แถมมีกลิ่นหอม มะม่วงจากแหล่งนี้มีลักษณะเด่นที่สังเกตได้ง่ายคือ ผิวเขียวนวลสวย ลักษณะเปลือกหนา ทนทานต่อการขนส่ง
นอกจากนี้ เจ๊เฮงยังรับซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นที่ปลูกในเขตที่ราบ เรียกว่า "โซนทะเล" มะม่วงที่ปลูกในแหล่งนี้ เกษตรกรนิยมเก็บผลอ่อนออกขายเป็นหลัก จึงมีรสชาติจืด และไม่มีกลิ่นหอมเหมือนมะม่วงที่ปลูกในโซนภูเขา แถมผิวบอบบางกว่า ช้ำได้ง่าย เมื่อขนส่งไปขายที่ไกลๆ
มะม่วงแก้วขมิ้นที่นำเข้ามาจากกัมพูชา จะนำมาคัดเกรดเป็น 3 กลุ่ม คือ มะม่วงแก่ ผิวสีเหลือง มะม่วงลาย ผิวมีรอยตำหนิ และมะม่วงอ่อน ผิวมีสีขาว เจ๊เฮงจะขายส่งให้แก่ลูกค้า ครั้งละไม่ต่ำกว่า 10 ลัง ในราคากิโลกรัมละ 12 บาท มะม่วงลาย 10 บาท/กิโลกรัม มะม่วงอ่อน 11 บาท/กิโลกรัม ปัจจุบันลูกค้าคนไทยนิยมซื้อมะม่วงแก่มากเป็นอันดับหนึ่ง
ปัจจุบัน เจ๊เฮงนอกจากสวมบทบาทเป็นแม่ค้าขายมะม่วงแล้ว ยังเป็นเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงแก้วขมิ้นอีกด้วย เธอบอกว่า หลังจากคนไทยหันมาตื่นตัวสนใจบริโภคมะม่วงแก้วขมิ้นกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สามีเธอตัดสินใจลงทุนทำสวนมะม่วงแก้วขมิ้นที่เขาคีรีรมย์ จังหวัดกัมปงสะปือ ปลูกมะม่วงแก้วขมิ้นประมาณ 10,000 ต้น ใช้เวลาปลูกประมาณ 2-3 ปี ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตออกขายได้แล้ว
ทั้งนี้ ต้นมะม่วงแก้วขมิ้น มีลักษณะโดยทั่วไปคล้ายกับมะม่วงสายพันธุ์อื่นๆ ลำต้นสูง 3-6 เมตร ใบแหลมยาว โคนมน ดอกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกมีกลิ่นหอม ผลมีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลูกใหญ่กว่ามะม่วงแก้วพันธุ์ดั้งเดิมของไทย ส่วนรสชาติก็คล้ายมะม่วงแก้วไทย แต่มีรสเปรี้ยวน้อยกว่าและไม่มีกลิ่นขี้ไต้ เมล็ดมีขนาดเล็ก ปริมาณเนื้อมาก เนื้อแน่น ติดผลเป็นพวง 5-10 ผล ผลมีขนาดใหญ่ ให้ผลดกเต็มต้นตลอดทั้งปี โดยปกติต้นมะม่วงแก้วขมิ้นจะมีระยะพักต้น ปีละ 3 เดือน ในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม มะม่วงชนิดนี้สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี เช่น เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และทาบกิ่ง
จุดเด่นของมะม่วงพันธุ์นี้คือ เป็นพันธุ์มะม่วงที่ติดผลง่าย ให้ผลดกตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องใช้วิธีบังคับให้ติดผลนอกฤดูเช่นเดียวกับมะม่วงสายพันธุ์อื่นๆ ทำให้เกษตรกรกัมพูชาที่ปลูกมะม่วงสายพันธุ์นี้ สามารถเก็บผลผลิตออกขายได้เกือบทั้งปี มะม่วงชนิดนี้มีเนื้อในสีเหลืองขมิ้น ผลดิบที่ไม่ค่อยแก่ สีเนื้อจะไม่ค่อยเหลืองเท่าไหร่ แต่ผลดิบแก่ เนื้อจะออกสีเหลืองเหมือนขมิ้น ยิ่งแก่มากยิ่งสีเหลืองมาก ผลสุกมีรสหวาน แต่ผู้บริโภคนิยมรับประทานดิบมากกว่า
"คนกัมพูชา ชอบทานมะม่วงแก้วขมิ้นกับน้ำปลาหวานเช่นเดียวกับคนไทย โดยใช้เกลือตำกับพริกและกะปิ ราคาขายมะม่วงแก้วขมิ้นที่ขายในท้องถิ่น ตกประมาณลูกละ 8 บาท ส่งมาขายในเมืองไทยได้กำไรดีกว่ามาก ทุกวันนี้ เธอมีกำไรจากการขายมะม่วงแก้วขมิ้น เพียง 1 บาท/กิโลกรัม อาศัยขายสินค้าในปริมาณมาก ก็ยังมีกำไรพอเลี้ยงตัวเองอยู่ได้" เจ๊เฮง กล่าว
เครดิตคัดลอกข้อความมาจาก http://info.matichon.co.th/
Friday, 8 July 2016
ถิ่นกำเนิด มะม่วงแก้วขมิ้น
มะม่วงชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดจาก ประเทศเขมร ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว มีความพิเศษคือ เป็นมะม่วงปลูกรับประทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก
รสชาติ ผลดิบฝานเป็นชิ้นๆจิ้มเกลือพริกป่น หรือกินกับน้ำปลาหวานกรอบมันปนเปรี้ยวและหวานเล็กน้อย ฉ่ำน้ำ เนื้อไม่แข็งหยาบกระด้าง หรือเหนียวเหมือนมะม่วงกินผ
เนื้อสุก ไม่เละ รสชาติหวานหอมไม่มีเสี้ยนอร่อยมาก แต่จะนิยมรับประ-ทานผลดิบมากกว่าผลสุก ปลูกต้นเดียวมีผลให้ผู้ปลูกเก็บรับประทานได้ตลอด แถมเวลาติดผลจะเป็น
มะม่วงแก้วขมิ้น เป็นไม้ยืนต้นสูง 10-15 เมตร ใบเดี่ยว ออกเวียนสลับรอบกิ่งก้านหนาแน่นบริเวณปลายยอด ใบเป็นรูปรี ปลายแหลม โคนมน เนื้อใบค่อนข้างหนา เวลาใบด
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/297169
รสชาติ ผลดิบฝานเป็นชิ้นๆจิ้มเกลือพริกป่น หรือกินกับน้ำปลาหวานกรอบมันปนเปรี้ยวและหวานเล็กน้อย ฉ่ำน้ำ เนื้อไม่แข็งหยาบกระด้าง หรือเหนียวเหมือนมะม่วงกินผ
เนื้อสุก ไม่เละ รสชาติหวานหอมไม่มีเสี้ยนอร่อยมาก แต่จะนิยมรับประ-ทานผลดิบมากกว่าผลสุก ปลูกต้นเดียวมีผลให้ผู้ปลูกเก็บรับประทานได้ตลอด แถมเวลาติดผลจะเป็น
มะม่วงแก้วขมิ้น เป็นไม้ยืนต้นสูง 10-15 เมตร ใบเดี่ยว ออกเวียนสลับรอบกิ่งก้านหนาแน่นบริเวณปลายยอด ใบเป็นรูปรี ปลายแหลม โคนมน เนื้อใบค่อนข้างหนา เวลาใบด
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/297169
Friday, 1 July 2016
มะม่วงแก้วขมิ้น ขายส่ง
"ร้าน เพย-ออน"
เผยยอดขายมะม่วง
แก้วขมิ้นโต ปีละ 20%
"เพย เม้ง" พ่อค้าชาวกัมพูชา เปิดกิจการห้างหุ้นส่วนจำกัด พี.โอ.แมงโก เพื่อดำเนินธุรกิจค้าขาย มะม่วงที่ตลาดไท ในชื่อ "ร้านเพย-ออน" โทร. (080) 456-8862, (084) 667-9666 เปิดเผยว่า ผมนำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นเข้ามาขายในเมืองไทย เมื่อ 4 ปีก่อน เพราะเป็นช่วงที่มะม่วงไทยขาดตลาด ปรากฏว่า คนไทยนิยมบริโภคมะม่วงแก้วขมิ้นกันมาก เพราะสีผลออกเหลืองน่ารับประทาน เนื้อกรอบ รสชาติเปรี้ยวน้อยกว่ามะม่วงไทย ผมจึงสั่งมะม่วงแก้วขมิ้นจากกัมพูชาเข้ามาขายอย่างต่อเนื่อง
คุณเพยมีเครือข่ายพ่อค้าในกัมพูชา ทำหน้าที่รวบรวมผลผลิตมะม่วงแก้วขมิ้นและส่งมาขายที่ตลาดไท วันละ 10 ตัน โดยขายส่งหน้าร้าน ปัจจุบันสินค้าส่วนใหญ่จะถูกส่งไปขายในตลาดภาคใต้ ลูกค้าส่วนใหญ่นิยมซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นเพื่อรับประทานเป็นผลสุก (ทางร้านบริการบ่มมะม่วงให้แก่ลูกค้า โดยคิดราคาบริการเพิ่ม ในอัตรา กิโลกรัมละ 1 บาท) ปกติ คนใต้นิยมมะม่วงผลสุกถึง 80% เดิมทีคนใต้นิยมรับประทานมะม่วงทองดำ แต่มะม่วงชนิดนี้มีผลผลิตเข้าสู่ตลาดเพียงไม่กี่เดือนต่อปี ขณะที่มะม่วงแก้วขมิ้นมีผลผลิตเข้าสู่ตลาดเกือบตลอดทั้งปี ก็สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่
ร้านค้าแห่งนี้ แบ่งเกรดมะม่วงออกขายเป็น 2 เบอร์ คือ เบอร์เล็ก ขนาด 4 ลูก/กิโลกรัม ขายส่งประมาณกิโลกรัมละ 12 บาท และเบอร์ใหญ่ ขนาด 2-3 ลูก/กิโลกรัม ขายส่งในราคากิโลกรัมละ16-18 บาท ลูกค้าในพื้นที่ภาคใต้นิยมบริโภคมะม่วงแก้วขมิ้นผลใหญ่ บางครั้งมีลูกค้าส่งมะม่วงผลใหญ่ขนาด 2 ลูก/กิโลกรัม ส่งไปขายถึงมาเลเซีย ส่วนพ่อค้ารถเข็นผลไม้นิยมซื้อมะม่วงขนาดผลเล็ก
"ระยะแรกที่ผมเปิดตลาดแก้วขมิ้น ผมนำเข้ามะม่วงจากกัมพูชาเข้ามาขายเพียง 1 คันรถปิกอัพ แต่ปัจจุบันมะม่วงแก้วขมิ้นครองส่วนแบ่งตลาดมะม่วงไทยได้มากขึ้นเรื่อยๆ มียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี ไม่ต่ำกว่าปีละ 20% จุดแข็งของมะม่วงแก้วขมิ้น นอกจากความโดดเด่นในด้านรสชาติความอร่อย รับประทานสุกก็ได้ รับประทานดิบก็อร่อยแล้ว มะม่วงแก้วขมิ้นมีผลผลิตป้อนเข้าตลาดเกือบทั้งปี แถมมีปริมาณมาก ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มะม่วงแก้วขมิ้นก้าวเป็นผู้นำตลาดมะม่วงในเมืองไทยในทุกวันนี้" คุณเพย กล่าว
หากใครอยากรับประทานมะม่วงแก้วขมิ้นที่มีรสชาติอร่อย คุณเพย แนะนำว่า ให้เลือกซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นที่มีผลแก่จัด ผิวสีเหลือง รสชาติจะไม่เปรี้ยวจัด หากเป็นมะม่วงผลแก่จัด ใช้เวลาเพียง 2-3 วัน เนื้อก็สุกพร้อมรับประทานได้แล้ว หากนำไปแช่น้ำแข็ง สามารถเก็บรักษาคุณภาพได้เป็นอาทิตย์ ส่วนมะม่วงอ่อน ไม่แก่จัด สังเกตได้ง่ายเพราะจะมีผิวเขียวใส เมื่อปอกเนื้อออกรับประทานจะมีรสชาติเปรี้ยวจัดจ้าน หากจะให้อร่อยก็ต้องรับประทานกับน้ำปลาหวาน หรือนำไปปรุงรสในลักษณะมะม่วงยำหรือส้มตำมะม่วง ก็จะเพิ่มรสชาติความอร่อยได้ตามที่ต้องการ
เครดิต คัดลอกบทความมาจาก http://info.matichon.co.th/
เผยยอดขายมะม่วง
แก้วขมิ้นโต ปีละ 20%
"เพย เม้ง" พ่อค้าชาวกัมพูชา เปิดกิจการห้างหุ้นส่วนจำกัด พี.โอ.แมงโก เพื่อดำเนินธุรกิจค้าขาย มะม่วงที่ตลาดไท ในชื่อ "ร้านเพย-ออน" โทร. (080) 456-8862, (084) 667-9666 เปิดเผยว่า ผมนำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นเข้ามาขายในเมืองไทย เมื่อ 4 ปีก่อน เพราะเป็นช่วงที่มะม่วงไทยขาดตลาด ปรากฏว่า คนไทยนิยมบริโภคมะม่วงแก้วขมิ้นกันมาก เพราะสีผลออกเหลืองน่ารับประทาน เนื้อกรอบ รสชาติเปรี้ยวน้อยกว่ามะม่วงไทย ผมจึงสั่งมะม่วงแก้วขมิ้นจากกัมพูชาเข้ามาขายอย่างต่อเนื่อง
คุณเพยมีเครือข่ายพ่อค้าในกัมพูชา ทำหน้าที่รวบรวมผลผลิตมะม่วงแก้วขมิ้นและส่งมาขายที่ตลาดไท วันละ 10 ตัน โดยขายส่งหน้าร้าน ปัจจุบันสินค้าส่วนใหญ่จะถูกส่งไปขายในตลาดภาคใต้ ลูกค้าส่วนใหญ่นิยมซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นเพื่อรับประทานเป็นผลสุก (ทางร้านบริการบ่มมะม่วงให้แก่ลูกค้า โดยคิดราคาบริการเพิ่ม ในอัตรา กิโลกรัมละ 1 บาท) ปกติ คนใต้นิยมมะม่วงผลสุกถึง 80% เดิมทีคนใต้นิยมรับประทานมะม่วงทองดำ แต่มะม่วงชนิดนี้มีผลผลิตเข้าสู่ตลาดเพียงไม่กี่เดือนต่อปี ขณะที่มะม่วงแก้วขมิ้นมีผลผลิตเข้าสู่ตลาดเกือบตลอดทั้งปี ก็สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่
ร้านค้าแห่งนี้ แบ่งเกรดมะม่วงออกขายเป็น 2 เบอร์ คือ เบอร์เล็ก ขนาด 4 ลูก/กิโลกรัม ขายส่งประมาณกิโลกรัมละ 12 บาท และเบอร์ใหญ่ ขนาด 2-3 ลูก/กิโลกรัม ขายส่งในราคากิโลกรัมละ16-18 บาท ลูกค้าในพื้นที่ภาคใต้นิยมบริโภคมะม่วงแก้วขมิ้นผลใหญ่ บางครั้งมีลูกค้าส่งมะม่วงผลใหญ่ขนาด 2 ลูก/กิโลกรัม ส่งไปขายถึงมาเลเซีย ส่วนพ่อค้ารถเข็นผลไม้นิยมซื้อมะม่วงขนาดผลเล็ก
"ระยะแรกที่ผมเปิดตลาดแก้วขมิ้น ผมนำเข้ามะม่วงจากกัมพูชาเข้ามาขายเพียง 1 คันรถปิกอัพ แต่ปัจจุบันมะม่วงแก้วขมิ้นครองส่วนแบ่งตลาดมะม่วงไทยได้มากขึ้นเรื่อยๆ มียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี ไม่ต่ำกว่าปีละ 20% จุดแข็งของมะม่วงแก้วขมิ้น นอกจากความโดดเด่นในด้านรสชาติความอร่อย รับประทานสุกก็ได้ รับประทานดิบก็อร่อยแล้ว มะม่วงแก้วขมิ้นมีผลผลิตป้อนเข้าตลาดเกือบทั้งปี แถมมีปริมาณมาก ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มะม่วงแก้วขมิ้นก้าวเป็นผู้นำตลาดมะม่วงในเมืองไทยในทุกวันนี้" คุณเพย กล่าว
หากใครอยากรับประทานมะม่วงแก้วขมิ้นที่มีรสชาติอร่อย คุณเพย แนะนำว่า ให้เลือกซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นที่มีผลแก่จัด ผิวสีเหลือง รสชาติจะไม่เปรี้ยวจัด หากเป็นมะม่วงผลแก่จัด ใช้เวลาเพียง 2-3 วัน เนื้อก็สุกพร้อมรับประทานได้แล้ว หากนำไปแช่น้ำแข็ง สามารถเก็บรักษาคุณภาพได้เป็นอาทิตย์ ส่วนมะม่วงอ่อน ไม่แก่จัด สังเกตได้ง่ายเพราะจะมีผิวเขียวใส เมื่อปอกเนื้อออกรับประทานจะมีรสชาติเปรี้ยวจัดจ้าน หากจะให้อร่อยก็ต้องรับประทานกับน้ำปลาหวาน หรือนำไปปรุงรสในลักษณะมะม่วงยำหรือส้มตำมะม่วง ก็จะเพิ่มรสชาติความอร่อยได้ตามที่ต้องการ
เครดิต คัดลอกบทความมาจาก http://info.matichon.co.th/
Thursday, 30 June 2016
มะม่วงแก้วขมิ้น สรรพคุณ
ประโยชน์ของมะม่วง มะม่วงแก้วขมิ้น สรรพคุณ มีดังนี้
ประโยชน์ของมะม่วงรับประทานมะม่วงก็ช่วยทำให้สดชื่นมีชีวิตชีวาได้เหมือนกัน
มะม่วงมีวิตามินซีสูง จึงช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี
มะม่วงมีวิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
ประโยชน์มะม่วงช่วยบำรุงและรักษาสายตา เพราะอุดมไปด้วยวิตามินเอและเบต้าแคโรทีน
เป็นผลไม้ที่มีส่วนช่วยบำรุงร่างกาย
ช่วยทำให้ผ่อนคลาย และหลับสบายยิ่งขึ้น
ช่วยทำให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ ปรับสมดุลภายใน
ประโยชน์ของมะม่วงดิบ ผลมะม่วงดิบมีวิตามินซีสูง จึงช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ
มีส่วนช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ รวมไปถึงต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
ช่วยเยียวยาและรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ใบมะม่วงประมาณ 15 ใบ นำมาล้างให้สะอาด แล้วนำมาต้มในน้ำสะอาด 1 ถ้วย โดยใช้ไฟอ่อน ๆ นาน 1 ชั่วโมง ถ้าน้ำแห้งก็เติมเรื่อย ๆ เมื่อเสร็จแล้วนำมาตั้งทิ้งไว้ค้างคืนไว้ 1 คืน พอเช้าก็นำมากรองเอาแต่น้ำดื่มติดต่อกันประมาณ 3-4 วัน
ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ด้วยการรับประทานผลสดแก่
ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ด้วยการรับประทานผลสดแก่
สรรพคุณของมะม่วง ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
ช่วยแก้โรคคอตีบ ด้วยการใช้เปลือกของลำต้นมะม่วงมาต้มรับประทาน
แก้ซางตานขโมยในเด็ก ด้วยการใช้ใบมะม่วงพอประมาณนำมาต้มรับประทาน
ช่วยรักษาอาการเยื่อปากอักเสบ จมูกอักเสบ ด้วยการใช้เปลือกของลำต้นมะม่วง มาต้มรับประทาน
เปลือกมะม่วงของผลดิบ นำมาคั่วรับประทานร่วมกับน้ำตาล ช่วยแก้อาการปวดประจำเดือนและอาการปวดเมื่อยช่วงมีประจำเดือน
เปลือกต้นมะม่วง นำมาต้มเอาน้ำดื่ม ช่วยแก้ไข้ตัวร้อน
ไฟเบอร์จากมะม่วง เป็นตัวช่วยสำหรับการย่อยอาหาร และเผาผลาญพลังงาน
แก้อาการท้องอืด ด้วยการนำใบสดประมาณ 15 กรัมมาต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้เมล็ดของมะม่วงสุกมาตากแห้งแล้วต้มเอาน้ำดื่ม หรือจะบดให้เป็นผงก็ได้แล้วนำมารับประทาน
มะม่วง สรรพคุณช่วยแก้อาการบิด ถ่ายเป็นเลือด ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
แก้อาการลำไส้อักเสบเรื้อรัง ด้วยการนำใบสดประมาณ 15 กรัมมาต้มกับน้ำดื่ม
ประโยชน์ของมะม่วงสุก มีส่วนช่วยในการขับถ่าย มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ด้วยการรับประทานมะม่วงสุก
ช่วยขับปัสสาวะ ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
ช่วยขับพยาธิ ด้วยการใช้เมล็ดของมะม่วงสุกมาตากแห้งแล้วต้มเอาน้ำดื่ม หรือจะบดให้เป็นผงก็ได้แล้วนำมารับประทาน
น้ำต้มกับใบมะม่วงสดประมาณ 15 กรัม ใช้ล้างบาดภายนอกได้แผลได้
ใช้เป็นยาสมานแผลสด ด้วยการใช้ใบมะม่วงสดล้างให้สะอาดแล้วนำมาตำและพอกบริเวณที่เป็นแผล
ประโยชน์ของต้นมะม่วง เนื้อไม้ของต้นมะม่วง ก็นิยมนำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ได้เช่นกัน
ใช้ประกอบอาหารหรือใช้รับประทานเป็นของว่างได้หลากหลายเช่น ทำน้ำพริก ยำมะม่วง ต้มย้ำ เมี่ยงส้ม หรือการทำเป็นมะม่วงน้ำปลาหวาน คั้นเป็นน้ำผลไม้ก็ได้เช่นกัน
นำมาแปรรูปเป็น มะม่วงกวน มะม่วงแก้ว มะม่วงดอง มะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงเค็ม น้ำแยมมะม่วง พายมะม่วง เป็นต้น
ใบแก่ของมะม่วงใช้เป็นสีย้อมผ้าให้เป็นสีเหลือง
ทรีทเม้นท์บำรุงผิวหน้าด้วยการใช้มะม่วงสุกมาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ จากนั้นใช้ช้อนบดขยี้เนื้อมะม่วงให้ละเอียดแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก จะทำให้ผิวหน้าดูสะอาดเกลี้ยงเกลา รูขุมขนดูกระชับผิวเรียบเนียนไร้รอยเหี่ยวย่น
ประโยชน์ของมะม่วงรับประทานมะม่วงก็ช่วยทำให้สดชื่นมีชีวิตชีวาได้เหมือนกัน
มะม่วงมีวิตามินซีสูง จึงช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี
มะม่วงมีวิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
ประโยชน์มะม่วงช่วยบำรุงและรักษาสายตา เพราะอุดมไปด้วยวิตามินเอและเบต้าแคโรทีน
เป็นผลไม้ที่มีส่วนช่วยบำรุงร่างกาย
ช่วยทำให้ผ่อนคลาย และหลับสบายยิ่งขึ้น
ช่วยทำให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ ปรับสมดุลภายใน
ประโยชน์ของมะม่วงดิบ ผลมะม่วงดิบมีวิตามินซีสูง จึงช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ
มีส่วนช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ รวมไปถึงต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
ช่วยเยียวยาและรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ใบมะม่วงประมาณ 15 ใบ นำมาล้างให้สะอาด แล้วนำมาต้มในน้ำสะอาด 1 ถ้วย โดยใช้ไฟอ่อน ๆ นาน 1 ชั่วโมง ถ้าน้ำแห้งก็เติมเรื่อย ๆ เมื่อเสร็จแล้วนำมาตั้งทิ้งไว้ค้างคืนไว้ 1 คืน พอเช้าก็นำมากรองเอาแต่น้ำดื่มติดต่อกันประมาณ 3-4 วัน
ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ด้วยการรับประทานผลสดแก่
ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ด้วยการรับประทานผลสดแก่
สรรพคุณของมะม่วง ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
ช่วยแก้โรคคอตีบ ด้วยการใช้เปลือกของลำต้นมะม่วงมาต้มรับประทาน
แก้ซางตานขโมยในเด็ก ด้วยการใช้ใบมะม่วงพอประมาณนำมาต้มรับประทาน
ช่วยรักษาอาการเยื่อปากอักเสบ จมูกอักเสบ ด้วยการใช้เปลือกของลำต้นมะม่วง มาต้มรับประทาน
เปลือกมะม่วงของผลดิบ นำมาคั่วรับประทานร่วมกับน้ำตาล ช่วยแก้อาการปวดประจำเดือนและอาการปวดเมื่อยช่วงมีประจำเดือน
เปลือกต้นมะม่วง นำมาต้มเอาน้ำดื่ม ช่วยแก้ไข้ตัวร้อน
ไฟเบอร์จากมะม่วง เป็นตัวช่วยสำหรับการย่อยอาหาร และเผาผลาญพลังงาน
แก้อาการท้องอืด ด้วยการนำใบสดประมาณ 15 กรัมมาต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้เมล็ดของมะม่วงสุกมาตากแห้งแล้วต้มเอาน้ำดื่ม หรือจะบดให้เป็นผงก็ได้แล้วนำมารับประทาน
มะม่วง สรรพคุณช่วยแก้อาการบิด ถ่ายเป็นเลือด ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
แก้อาการลำไส้อักเสบเรื้อรัง ด้วยการนำใบสดประมาณ 15 กรัมมาต้มกับน้ำดื่ม
ประโยชน์ของมะม่วงสุก มีส่วนช่วยในการขับถ่าย มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ด้วยการรับประทานมะม่วงสุก
ช่วยขับปัสสาวะ ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
ช่วยขับพยาธิ ด้วยการใช้เมล็ดของมะม่วงสุกมาตากแห้งแล้วต้มเอาน้ำดื่ม หรือจะบดให้เป็นผงก็ได้แล้วนำมารับประทาน
น้ำต้มกับใบมะม่วงสดประมาณ 15 กรัม ใช้ล้างบาดภายนอกได้แผลได้
ใช้เป็นยาสมานแผลสด ด้วยการใช้ใบมะม่วงสดล้างให้สะอาดแล้วนำมาตำและพอกบริเวณที่เป็นแผล
ประโยชน์ของต้นมะม่วง เนื้อไม้ของต้นมะม่วง ก็นิยมนำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ได้เช่นกัน
ใช้ประกอบอาหารหรือใช้รับประทานเป็นของว่างได้หลากหลายเช่น ทำน้ำพริก ยำมะม่วง ต้มย้ำ เมี่ยงส้ม หรือการทำเป็นมะม่วงน้ำปลาหวาน คั้นเป็นน้ำผลไม้ก็ได้เช่นกัน
นำมาแปรรูปเป็น มะม่วงกวน มะม่วงแก้ว มะม่วงดอง มะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงเค็ม น้ำแยมมะม่วง พายมะม่วง เป็นต้น
ใบแก่ของมะม่วงใช้เป็นสีย้อมผ้าให้เป็นสีเหลือง
ทรีทเม้นท์บำรุงผิวหน้าด้วยการใช้มะม่วงสุกมาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ จากนั้นใช้ช้อนบดขยี้เนื้อมะม่วงให้ละเอียดแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก จะทำให้ผิวหน้าดูสะอาดเกลี้ยงเกลา รูขุมขนดูกระชับผิวเรียบเนียนไร้รอยเหี่ยวย่น
Wednesday, 15 June 2016
คลิป เกษตรทำเงิน ตอน มะม่วงแก้วขมิ้น
คลิป เกษตรทำเงิน ตอน มะม่วงแก้วขมิ้น ผลดก ปลูกง่ายราคางาม ประโยชน์ทางอาหารสูง
ในปัจจุบันมีการนำมะม่วงมาจากหลายประเทศเพื่อนำมาต่อยอดเพื่อการค้า การพัฒนาสายพันธุ์ เช่นของไตหวัน หรืออื่นๆ ทำให้เราได้มีทางเลือกอีกมากสำหรับผู้บริโภค
ในปัจจุบันมีการนำมะม่วงมาจากหลายประเทศเพื่อนำมาต่อยอดเพื่อการค้า การพัฒนาสายพันธุ์ เช่นของไตหวัน หรืออื่นๆ ทำให้เราได้มีทางเลือกอีกมากสำหรับผู้บริโภค
มะม่วงแก้วขมิ้น อ้วนไหม
มะม่วงแก้วขมิ้น อ้วนไหม
คำตอบคือไม่อ้วนแน่นอนครับ เพราะมะม่วงแก้วมีปริมาณแคลลอรี่เพียง 93 กิโลแคลลอรี่เท่านั้นเมื่อเที่ยบกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งในทางการลดน้ำหนักนั้น คู่ควรเป็นหนึ่งวิธีเมนูอาหารลดน้ำหนัก เป็นอย่างยิ่ง รวมไปถึงมะม่วงสายพันธุ์อื่นๆด้วย ทั้งมีความกรอบอร่อยตั้งแต่ผลสุกยันผลหนุ่ม ทั้งยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย
คำตอบคือไม่อ้วนแน่นอนครับ เพราะมะม่วงแก้วมีปริมาณแคลลอรี่เพียง 93 กิโลแคลลอรี่เท่านั้นเมื่อเที่ยบกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งในทางการลดน้ำหนักนั้น คู่ควรเป็นหนึ่งวิธีเมนูอาหารลดน้ำหนัก เป็นอย่างยิ่ง รวมไปถึงมะม่วงสายพันธุ์อื่นๆด้วย ทั้งมีความกรอบอร่อยตั้งแต่ผลสุกยันผลหนุ่ม ทั้งยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย
Subscribe to:
Posts (Atom)