เทคโนโลยีการเกษตร
สาวบางแค
"มะม่วงแก้วขมิ้น" ขายดี ที่ตลาดไท
มะม่วงแก้วละเมียด ของกัมพูชา ที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า "มะม่วงแก้วขมิ้น หรือแก้วเขมร" มีลักษณะเด่นคือ รับประทานได้อร่อย ทั้งผลดิบและสุก เนื้อแน่นละเอียด มีสีเหลืองคล้ายขมิ้น เนื้อกรอบมัน รสหวานปนเปรี้ยว ผลดิบเหมาะสำหรับรับประทานกับน้ำปลาหวาน หรือนำมาปรุงรสชาติในเมนูอาหารได้หลายชนิด เช่น ยำมะม่วง ส้มตำมะม่วง ฯลฯ ส่วนมะม่วงผลแก่ หากนำไปบ่มให้สุก จะมีรสชาติหวานอร่อย ทำให้มะม่วงพันธุ์นี้เป็นที่ยอมรับของคนไทยอย่างกว้างขวาง
ปัจจุบัน "ตลาดไท" นับเป็นแหล่งใหญ่ที่มีการนำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นเข้ามาขายในไทย ก่อนจะกระจายผลผลิตออกไปทั่วประเทศ ในฉบับนี้ จึงขอไปเยี่ยมชมบรรยากาศการซื้อขายมะม่วงแก้วขมิ้น พร้อมพูดคุยกับแม่ค้าพ่อค้าชาวกัมพูชารายใหญ่ ที่นำมะม่วงแก้วขมิ้นเข้ามาขายในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง
คุยกับ "เฮง เทียว" บุกเบิกนำเข้าแก้วขมิ้นมาขายไทย
"วัน เซียง เฮง" หรือ "เฮง เทียว" แม่ค้าชาวกัมพูชา วัย 23 ปี ที่คนไทยเรียกติดปากว่า "เจ๊เฮง" ปัจจุบันเป็นเอเย่นต์รายใหญ่ที่นำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นจากประเทศกัมพูชาเข้ามาขายที่เมืองไทย โดยเธอเปิดหน้าร้านขายมะม่วงแก้วขมิ้น อยู่ที่ตลาดไท ในชื่อ ร้าน เฮง+ที 144 โทร. (087) 496-1444, (082) 445-5419
คุณเฮง เทียว และสามีเข้ามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่เมื่อ 12 ปีที่แล้ว โดยช่วงแรกสามีเธอจะซื้อสินค้าเกษตรและอาหารจากเมืองไทยส่งเข้าไปขายที่ประเทศกัมพูชา โดยตีรถเปล่าวิ่งจากกัมพูชาเข้าไทยเพื่อมาซื้อสินค้าในแต่ละครั้ง ก็รู้สึกไม่คุ้ม เมื่อ 6 ปีก่อน มีแม่ค้าคนไทยรายหนึ่งชื่อ เจ๊พร ได้นำเข้ามะม่วงพันธุ์ท้องถิ่นของกัมพูชา ชื่อว่า "มะม่วงแก้วละเมียด" มาทดลองขายที่ตลาดไท ปรากฏว่าขายดี เจ๊เฮงจึงทดลองนำมะม่วงแก้วละเมียดเข้ามาขายบ้าง วันละ 20 ลัง ปรากฏว่า ขายดีไม่แพ้กัน เจ๊พรหยุดนำเข้ามะม่วงแก้วละเมียดไปแล้ว แต่เจ๊เฮงยังนำเข้ามะม่วงเข้ามาขายตลอด แถมมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นทุกปี
เจ๊เฮงนำมะม่วงแก้วขมิ้นจากกัมพูชาเข้ามาขายตลอดทั้งปี โดยจะวิ่งรถบรรทุกสิบล้อขนมะม่วงจากกัมพูชาเข้ามาขายที่ตลาดไททุกวัน ส่วนเที่ยวกลับจะซื้อผลไม้สดจากตลาดไท เช่น มะยงชิด แอปเปิ้ล องุ่น ฯลฯ ส่งกลับไปขายที่กรุงพนมเปญ วันละ 10 ตัน
"เราเปิดล้งรวบรวมผลผลิตที่คีรีรมย์ จังหวัดกัมปงสะปือ ปกติจะใช้รถบรรทุกสิบล้อขนส่งมะม่วงจากกัมพูชาถึงไทยประมาณ 10 โมงกว่า แต่ละวันจะออกเดินทางจากกัมพูชาในช่วงกลางคืน เวลา 2-3 ทุ่ม รถบรรทุกขับถึงชายแดนไทย ประมาณ 7 โมง บริเวณด่านช่องผักกาด จังหวัดจันทบุรี หลังจากนั้น จะใช้เวลาขนส่งสินค้าถึงตลาดไท ประมาณบ่ายโมง" เจ๊เฮง กล่าว
ช่วงฤดูมะม่วงแก้วขมิ้นออกเยอะ เจ๊เฮงจะใช้รถสิบล้อ 2 คัน รถหกล้อ 2 คัน ขนส่งมะม่วงจากกัมพูชามาขายที่ตลาดไท มากสุดถึงวันละ 37.5 ตัน ช่วงปลายฤดู ผลผลิตเข้าตลาดน้อยลง เหลือแค่วันละ 20 ตัน ลูกค้าขาประจำ นอกจากแม่ค้าพ่อค้าคนไทยแล้ว ยังมีลูกค้ามาสั่งซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นจากร้านเจ๊เฮง เพื่อส่งไปขายประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่างเช่น เวียดนาม มาเลเซีย และจีน อีกด้วย
เจ๊เฮง บอกว่า ที่ผ่านมา เธอทำหน้าที่ขายมะม่วงอยู่ที่เมืองไทย ส่วนสามีทำหน้าที่รับซื้อและรวบรวมผลผลิตจากแหล่งใหญ่คือ เขาคีรีรมย์ จังหวัดกัมปงสะปือ อยู่ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางตะวันตกเฉียงใต้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตที่ราบสูง เรียกว่า "โซนภูเขา" มีราคาแพงสุดในกัมพูชา เพราะมะม่วงแก่ของคีรีรมย์มีรสชาติเข้มข้น อร่อยสุดๆ แถมมีกลิ่นหอม มะม่วงจากแหล่งนี้มีลักษณะเด่นที่สังเกตได้ง่ายคือ ผิวเขียวนวลสวย ลักษณะเปลือกหนา ทนทานต่อการขนส่ง
นอกจากนี้ เจ๊เฮงยังรับซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นที่ปลูกในเขตที่ราบ เรียกว่า "โซนทะเล" มะม่วงที่ปลูกในแหล่งนี้ เกษตรกรนิยมเก็บผลอ่อนออกขายเป็นหลัก จึงมีรสชาติจืด และไม่มีกลิ่นหอมเหมือนมะม่วงที่ปลูกในโซนภูเขา แถมผิวบอบบางกว่า ช้ำได้ง่าย เมื่อขนส่งไปขายที่ไกลๆ
มะม่วงแก้วขมิ้นที่นำเข้ามาจากกัมพูชา จะนำมาคัดเกรดเป็น 3 กลุ่ม คือ มะม่วงแก่ ผิวสีเหลือง มะม่วงลาย ผิวมีรอยตำหนิ และมะม่วงอ่อน ผิวมีสีขาว เจ๊เฮงจะขายส่งให้แก่ลูกค้า ครั้งละไม่ต่ำกว่า 10 ลัง ในราคากิโลกรัมละ 12 บาท มะม่วงลาย 10 บาท/กิโลกรัม มะม่วงอ่อน 11 บาท/กิโลกรัม ปัจจุบันลูกค้าคนไทยนิยมซื้อมะม่วงแก่มากเป็นอันดับหนึ่ง
ปัจจุบัน เจ๊เฮงนอกจากสวมบทบาทเป็นแม่ค้าขายมะม่วงแล้ว ยังเป็นเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงแก้วขมิ้นอีกด้วย เธอบอกว่า หลังจากคนไทยหันมาตื่นตัวสนใจบริโภคมะม่วงแก้วขมิ้นกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สามีเธอตัดสินใจลงทุนทำสวนมะม่วงแก้วขมิ้นที่เขาคีรีรมย์ จังหวัดกัมปงสะปือ ปลูกมะม่วงแก้วขมิ้นประมาณ 10,000 ต้น ใช้เวลาปลูกประมาณ 2-3 ปี ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตออกขายได้แล้ว
ทั้งนี้ ต้นมะม่วงแก้วขมิ้น มีลักษณะโดยทั่วไปคล้ายกับมะม่วงสายพันธุ์อื่นๆ ลำต้นสูง 3-6 เมตร ใบแหลมยาว โคนมน ดอกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกมีกลิ่นหอม ผลมีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลูกใหญ่กว่ามะม่วงแก้วพันธุ์ดั้งเดิมของไทย ส่วนรสชาติก็คล้ายมะม่วงแก้วไทย แต่มีรสเปรี้ยวน้อยกว่าและไม่มีกลิ่นขี้ไต้ เมล็ดมีขนาดเล็ก ปริมาณเนื้อมาก เนื้อแน่น ติดผลเป็นพวง 5-10 ผล ผลมีขนาดใหญ่ ให้ผลดกเต็มต้นตลอดทั้งปี โดยปกติต้นมะม่วงแก้วขมิ้นจะมีระยะพักต้น ปีละ 3 เดือน ในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม มะม่วงชนิดนี้สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี เช่น เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และทาบกิ่ง
จุดเด่นของมะม่วงพันธุ์นี้คือ เป็นพันธุ์มะม่วงที่ติดผลง่าย ให้ผลดกตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องใช้วิธีบังคับให้ติดผลนอกฤดูเช่นเดียวกับมะม่วงสายพันธุ์อื่นๆ ทำให้เกษตรกรกัมพูชาที่ปลูกมะม่วงสายพันธุ์นี้ สามารถเก็บผลผลิตออกขายได้เกือบทั้งปี มะม่วงชนิดนี้มีเนื้อในสีเหลืองขมิ้น ผลดิบที่ไม่ค่อยแก่ สีเนื้อจะไม่ค่อยเหลืองเท่าไหร่ แต่ผลดิบแก่ เนื้อจะออกสีเหลืองเหมือนขมิ้น ยิ่งแก่มากยิ่งสีเหลืองมาก ผลสุกมีรสหวาน แต่ผู้บริโภคนิยมรับประทานดิบมากกว่า
"คนกัมพูชา ชอบทานมะม่วงแก้วขมิ้นกับน้ำปลาหวานเช่นเดียวกับคนไทย โดยใช้เกลือตำกับพริกและกะปิ ราคาขายมะม่วงแก้วขมิ้นที่ขายในท้องถิ่น ตกประมาณลูกละ 8 บาท ส่งมาขายในเมืองไทยได้กำไรดีกว่ามาก ทุกวันนี้ เธอมีกำไรจากการขายมะม่วงแก้วขมิ้น เพียง 1 บาท/กิโลกรัม อาศัยขายสินค้าในปริมาณมาก ก็ยังมีกำไรพอเลี้ยงตัวเองอยู่ได้" เจ๊เฮง กล่าว
เครดิตคัดลอกข้อความมาจาก http://info.matichon.co.th/
No comments:
Post a Comment