มะม่วงแก้วขมิ้น แคลอรี่
ข้อมูลโภชนาการ
ปริมาณของอาหาร : 1 x 100 กรัม
คุณค่าอาหารที่ได้รับ
Calories : 93
Fat : 0.1 g (65 g)*
Carbohydrate : 22.4 g (300 g)*
Protein : 0.6 g (50 g)*
*ปริมาณสารอาหารที่แนะนำไม่ให้รับเกินต่อวัน อ้างอิงจากคนที่ต้องการ 2,000แคลอรี่/
จะเห็นได้ว่ามะม่วงมีปริมาณแคลอรี่ที่น้อยมาก เมื่อเที่ยบกับปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ล่ะวัน เหมาะกับการลดความอ้วน หรือควบคุมน้ำหนักนะจ๊ะ.
Thursday, 28 July 2016
Thursday, 21 July 2016
มะม่วงแก้วขมิ้น ราคา
เทคโนโลยีการเกษตร
สาวบางแค
"มะม่วงแก้วขมิ้น" ขายดี ที่ตลาดไท
มะม่วงแก้วละเมียด ของกัมพูชา ที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า "มะม่วงแก้วขมิ้น หรือแก้วเขมร" มีลักษณะเด่นคือ รับประทานได้อร่อย ทั้งผลดิบและสุก เนื้อแน่นละเอียด มีสีเหลืองคล้ายขมิ้น เนื้อกรอบมัน รสหวานปนเปรี้ยว ผลดิบเหมาะสำหรับรับประทานกับน้ำปลาหวาน หรือนำมาปรุงรสชาติในเมนูอาหารได้หลายชนิด เช่น ยำมะม่วง ส้มตำมะม่วง ฯลฯ ส่วนมะม่วงผลแก่ หากนำไปบ่มให้สุก จะมีรสชาติหวานอร่อย ทำให้มะม่วงพันธุ์นี้เป็นที่ยอมรับของคนไทยอย่างกว้างขวาง
ปัจจุบัน "ตลาดไท" นับเป็นแหล่งใหญ่ที่มีการนำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นเข้ามาขายในไทย ก่อนจะกระจายผลผลิตออกไปทั่วประเทศ ในฉบับนี้ จึงขอไปเยี่ยมชมบรรยากาศการซื้อขายมะม่วงแก้วขมิ้น พร้อมพูดคุยกับแม่ค้าพ่อค้าชาวกัมพูชารายใหญ่ ที่นำมะม่วงแก้วขมิ้นเข้ามาขายในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง
คุยกับ "เฮง เทียว" บุกเบิกนำเข้าแก้วขมิ้นมาขายไทย
"วัน เซียง เฮง" หรือ "เฮง เทียว" แม่ค้าชาวกัมพูชา วัย 23 ปี ที่คนไทยเรียกติดปากว่า "เจ๊เฮง" ปัจจุบันเป็นเอเย่นต์รายใหญ่ที่นำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นจากประเทศกัมพูชาเข้ามาขายที่เมืองไทย โดยเธอเปิดหน้าร้านขายมะม่วงแก้วขมิ้น อยู่ที่ตลาดไท ในชื่อ ร้าน เฮง+ที 144 โทร. (087) 496-1444, (082) 445-5419
คุณเฮง เทียว และสามีเข้ามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่เมื่อ 12 ปีที่แล้ว โดยช่วงแรกสามีเธอจะซื้อสินค้าเกษตรและอาหารจากเมืองไทยส่งเข้าไปขายที่ประเทศกัมพูชา โดยตีรถเปล่าวิ่งจากกัมพูชาเข้าไทยเพื่อมาซื้อสินค้าในแต่ละครั้ง ก็รู้สึกไม่คุ้ม เมื่อ 6 ปีก่อน มีแม่ค้าคนไทยรายหนึ่งชื่อ เจ๊พร ได้นำเข้ามะม่วงพันธุ์ท้องถิ่นของกัมพูชา ชื่อว่า "มะม่วงแก้วละเมียด" มาทดลองขายที่ตลาดไท ปรากฏว่าขายดี เจ๊เฮงจึงทดลองนำมะม่วงแก้วละเมียดเข้ามาขายบ้าง วันละ 20 ลัง ปรากฏว่า ขายดีไม่แพ้กัน เจ๊พรหยุดนำเข้ามะม่วงแก้วละเมียดไปแล้ว แต่เจ๊เฮงยังนำเข้ามะม่วงเข้ามาขายตลอด แถมมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นทุกปี
เจ๊เฮงนำมะม่วงแก้วขมิ้นจากกัมพูชาเข้ามาขายตลอดทั้งปี โดยจะวิ่งรถบรรทุกสิบล้อขนมะม่วงจากกัมพูชาเข้ามาขายที่ตลาดไททุกวัน ส่วนเที่ยวกลับจะซื้อผลไม้สดจากตลาดไท เช่น มะยงชิด แอปเปิ้ล องุ่น ฯลฯ ส่งกลับไปขายที่กรุงพนมเปญ วันละ 10 ตัน
"เราเปิดล้งรวบรวมผลผลิตที่คีรีรมย์ จังหวัดกัมปงสะปือ ปกติจะใช้รถบรรทุกสิบล้อขนส่งมะม่วงจากกัมพูชาถึงไทยประมาณ 10 โมงกว่า แต่ละวันจะออกเดินทางจากกัมพูชาในช่วงกลางคืน เวลา 2-3 ทุ่ม รถบรรทุกขับถึงชายแดนไทย ประมาณ 7 โมง บริเวณด่านช่องผักกาด จังหวัดจันทบุรี หลังจากนั้น จะใช้เวลาขนส่งสินค้าถึงตลาดไท ประมาณบ่ายโมง" เจ๊เฮง กล่าว
ช่วงฤดูมะม่วงแก้วขมิ้นออกเยอะ เจ๊เฮงจะใช้รถสิบล้อ 2 คัน รถหกล้อ 2 คัน ขนส่งมะม่วงจากกัมพูชามาขายที่ตลาดไท มากสุดถึงวันละ 37.5 ตัน ช่วงปลายฤดู ผลผลิตเข้าตลาดน้อยลง เหลือแค่วันละ 20 ตัน ลูกค้าขาประจำ นอกจากแม่ค้าพ่อค้าคนไทยแล้ว ยังมีลูกค้ามาสั่งซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นจากร้านเจ๊เฮง เพื่อส่งไปขายประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่างเช่น เวียดนาม มาเลเซีย และจีน อีกด้วย
เจ๊เฮง บอกว่า ที่ผ่านมา เธอทำหน้าที่ขายมะม่วงอยู่ที่เมืองไทย ส่วนสามีทำหน้าที่รับซื้อและรวบรวมผลผลิตจากแหล่งใหญ่คือ เขาคีรีรมย์ จังหวัดกัมปงสะปือ อยู่ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางตะวันตกเฉียงใต้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตที่ราบสูง เรียกว่า "โซนภูเขา" มีราคาแพงสุดในกัมพูชา เพราะมะม่วงแก่ของคีรีรมย์มีรสชาติเข้มข้น อร่อยสุดๆ แถมมีกลิ่นหอม มะม่วงจากแหล่งนี้มีลักษณะเด่นที่สังเกตได้ง่ายคือ ผิวเขียวนวลสวย ลักษณะเปลือกหนา ทนทานต่อการขนส่ง
นอกจากนี้ เจ๊เฮงยังรับซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นที่ปลูกในเขตที่ราบ เรียกว่า "โซนทะเล" มะม่วงที่ปลูกในแหล่งนี้ เกษตรกรนิยมเก็บผลอ่อนออกขายเป็นหลัก จึงมีรสชาติจืด และไม่มีกลิ่นหอมเหมือนมะม่วงที่ปลูกในโซนภูเขา แถมผิวบอบบางกว่า ช้ำได้ง่าย เมื่อขนส่งไปขายที่ไกลๆ
มะม่วงแก้วขมิ้นที่นำเข้ามาจากกัมพูชา จะนำมาคัดเกรดเป็น 3 กลุ่ม คือ มะม่วงแก่ ผิวสีเหลือง มะม่วงลาย ผิวมีรอยตำหนิ และมะม่วงอ่อน ผิวมีสีขาว เจ๊เฮงจะขายส่งให้แก่ลูกค้า ครั้งละไม่ต่ำกว่า 10 ลัง ในราคากิโลกรัมละ 12 บาท มะม่วงลาย 10 บาท/กิโลกรัม มะม่วงอ่อน 11 บาท/กิโลกรัม ปัจจุบันลูกค้าคนไทยนิยมซื้อมะม่วงแก่มากเป็นอันดับหนึ่ง
ปัจจุบัน เจ๊เฮงนอกจากสวมบทบาทเป็นแม่ค้าขายมะม่วงแล้ว ยังเป็นเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงแก้วขมิ้นอีกด้วย เธอบอกว่า หลังจากคนไทยหันมาตื่นตัวสนใจบริโภคมะม่วงแก้วขมิ้นกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สามีเธอตัดสินใจลงทุนทำสวนมะม่วงแก้วขมิ้นที่เขาคีรีรมย์ จังหวัดกัมปงสะปือ ปลูกมะม่วงแก้วขมิ้นประมาณ 10,000 ต้น ใช้เวลาปลูกประมาณ 2-3 ปี ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตออกขายได้แล้ว
ทั้งนี้ ต้นมะม่วงแก้วขมิ้น มีลักษณะโดยทั่วไปคล้ายกับมะม่วงสายพันธุ์อื่นๆ ลำต้นสูง 3-6 เมตร ใบแหลมยาว โคนมน ดอกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกมีกลิ่นหอม ผลมีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลูกใหญ่กว่ามะม่วงแก้วพันธุ์ดั้งเดิมของไทย ส่วนรสชาติก็คล้ายมะม่วงแก้วไทย แต่มีรสเปรี้ยวน้อยกว่าและไม่มีกลิ่นขี้ไต้ เมล็ดมีขนาดเล็ก ปริมาณเนื้อมาก เนื้อแน่น ติดผลเป็นพวง 5-10 ผล ผลมีขนาดใหญ่ ให้ผลดกเต็มต้นตลอดทั้งปี โดยปกติต้นมะม่วงแก้วขมิ้นจะมีระยะพักต้น ปีละ 3 เดือน ในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม มะม่วงชนิดนี้สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี เช่น เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และทาบกิ่ง
จุดเด่นของมะม่วงพันธุ์นี้คือ เป็นพันธุ์มะม่วงที่ติดผลง่าย ให้ผลดกตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องใช้วิธีบังคับให้ติดผลนอกฤดูเช่นเดียวกับมะม่วงสายพันธุ์อื่นๆ ทำให้เกษตรกรกัมพูชาที่ปลูกมะม่วงสายพันธุ์นี้ สามารถเก็บผลผลิตออกขายได้เกือบทั้งปี มะม่วงชนิดนี้มีเนื้อในสีเหลืองขมิ้น ผลดิบที่ไม่ค่อยแก่ สีเนื้อจะไม่ค่อยเหลืองเท่าไหร่ แต่ผลดิบแก่ เนื้อจะออกสีเหลืองเหมือนขมิ้น ยิ่งแก่มากยิ่งสีเหลืองมาก ผลสุกมีรสหวาน แต่ผู้บริโภคนิยมรับประทานดิบมากกว่า
"คนกัมพูชา ชอบทานมะม่วงแก้วขมิ้นกับน้ำปลาหวานเช่นเดียวกับคนไทย โดยใช้เกลือตำกับพริกและกะปิ ราคาขายมะม่วงแก้วขมิ้นที่ขายในท้องถิ่น ตกประมาณลูกละ 8 บาท ส่งมาขายในเมืองไทยได้กำไรดีกว่ามาก ทุกวันนี้ เธอมีกำไรจากการขายมะม่วงแก้วขมิ้น เพียง 1 บาท/กิโลกรัม อาศัยขายสินค้าในปริมาณมาก ก็ยังมีกำไรพอเลี้ยงตัวเองอยู่ได้" เจ๊เฮง กล่าว
เครดิตคัดลอกข้อความมาจาก http://info.matichon.co.th/
สาวบางแค
"มะม่วงแก้วขมิ้น" ขายดี ที่ตลาดไท
มะม่วงแก้วละเมียด ของกัมพูชา ที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า "มะม่วงแก้วขมิ้น หรือแก้วเขมร" มีลักษณะเด่นคือ รับประทานได้อร่อย ทั้งผลดิบและสุก เนื้อแน่นละเอียด มีสีเหลืองคล้ายขมิ้น เนื้อกรอบมัน รสหวานปนเปรี้ยว ผลดิบเหมาะสำหรับรับประทานกับน้ำปลาหวาน หรือนำมาปรุงรสชาติในเมนูอาหารได้หลายชนิด เช่น ยำมะม่วง ส้มตำมะม่วง ฯลฯ ส่วนมะม่วงผลแก่ หากนำไปบ่มให้สุก จะมีรสชาติหวานอร่อย ทำให้มะม่วงพันธุ์นี้เป็นที่ยอมรับของคนไทยอย่างกว้างขวาง
ปัจจุบัน "ตลาดไท" นับเป็นแหล่งใหญ่ที่มีการนำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นเข้ามาขายในไทย ก่อนจะกระจายผลผลิตออกไปทั่วประเทศ ในฉบับนี้ จึงขอไปเยี่ยมชมบรรยากาศการซื้อขายมะม่วงแก้วขมิ้น พร้อมพูดคุยกับแม่ค้าพ่อค้าชาวกัมพูชารายใหญ่ ที่นำมะม่วงแก้วขมิ้นเข้ามาขายในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง
คุยกับ "เฮง เทียว" บุกเบิกนำเข้าแก้วขมิ้นมาขายไทย
"วัน เซียง เฮง" หรือ "เฮง เทียว" แม่ค้าชาวกัมพูชา วัย 23 ปี ที่คนไทยเรียกติดปากว่า "เจ๊เฮง" ปัจจุบันเป็นเอเย่นต์รายใหญ่ที่นำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นจากประเทศกัมพูชาเข้ามาขายที่เมืองไทย โดยเธอเปิดหน้าร้านขายมะม่วงแก้วขมิ้น อยู่ที่ตลาดไท ในชื่อ ร้าน เฮง+ที 144 โทร. (087) 496-1444, (082) 445-5419
คุณเฮง เทียว และสามีเข้ามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่เมื่อ 12 ปีที่แล้ว โดยช่วงแรกสามีเธอจะซื้อสินค้าเกษตรและอาหารจากเมืองไทยส่งเข้าไปขายที่ประเทศกัมพูชา โดยตีรถเปล่าวิ่งจากกัมพูชาเข้าไทยเพื่อมาซื้อสินค้าในแต่ละครั้ง ก็รู้สึกไม่คุ้ม เมื่อ 6 ปีก่อน มีแม่ค้าคนไทยรายหนึ่งชื่อ เจ๊พร ได้นำเข้ามะม่วงพันธุ์ท้องถิ่นของกัมพูชา ชื่อว่า "มะม่วงแก้วละเมียด" มาทดลองขายที่ตลาดไท ปรากฏว่าขายดี เจ๊เฮงจึงทดลองนำมะม่วงแก้วละเมียดเข้ามาขายบ้าง วันละ 20 ลัง ปรากฏว่า ขายดีไม่แพ้กัน เจ๊พรหยุดนำเข้ามะม่วงแก้วละเมียดไปแล้ว แต่เจ๊เฮงยังนำเข้ามะม่วงเข้ามาขายตลอด แถมมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นทุกปี
เจ๊เฮงนำมะม่วงแก้วขมิ้นจากกัมพูชาเข้ามาขายตลอดทั้งปี โดยจะวิ่งรถบรรทุกสิบล้อขนมะม่วงจากกัมพูชาเข้ามาขายที่ตลาดไททุกวัน ส่วนเที่ยวกลับจะซื้อผลไม้สดจากตลาดไท เช่น มะยงชิด แอปเปิ้ล องุ่น ฯลฯ ส่งกลับไปขายที่กรุงพนมเปญ วันละ 10 ตัน
"เราเปิดล้งรวบรวมผลผลิตที่คีรีรมย์ จังหวัดกัมปงสะปือ ปกติจะใช้รถบรรทุกสิบล้อขนส่งมะม่วงจากกัมพูชาถึงไทยประมาณ 10 โมงกว่า แต่ละวันจะออกเดินทางจากกัมพูชาในช่วงกลางคืน เวลา 2-3 ทุ่ม รถบรรทุกขับถึงชายแดนไทย ประมาณ 7 โมง บริเวณด่านช่องผักกาด จังหวัดจันทบุรี หลังจากนั้น จะใช้เวลาขนส่งสินค้าถึงตลาดไท ประมาณบ่ายโมง" เจ๊เฮง กล่าว
ช่วงฤดูมะม่วงแก้วขมิ้นออกเยอะ เจ๊เฮงจะใช้รถสิบล้อ 2 คัน รถหกล้อ 2 คัน ขนส่งมะม่วงจากกัมพูชามาขายที่ตลาดไท มากสุดถึงวันละ 37.5 ตัน ช่วงปลายฤดู ผลผลิตเข้าตลาดน้อยลง เหลือแค่วันละ 20 ตัน ลูกค้าขาประจำ นอกจากแม่ค้าพ่อค้าคนไทยแล้ว ยังมีลูกค้ามาสั่งซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นจากร้านเจ๊เฮง เพื่อส่งไปขายประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่างเช่น เวียดนาม มาเลเซีย และจีน อีกด้วย
เจ๊เฮง บอกว่า ที่ผ่านมา เธอทำหน้าที่ขายมะม่วงอยู่ที่เมืองไทย ส่วนสามีทำหน้าที่รับซื้อและรวบรวมผลผลิตจากแหล่งใหญ่คือ เขาคีรีรมย์ จังหวัดกัมปงสะปือ อยู่ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางตะวันตกเฉียงใต้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตที่ราบสูง เรียกว่า "โซนภูเขา" มีราคาแพงสุดในกัมพูชา เพราะมะม่วงแก่ของคีรีรมย์มีรสชาติเข้มข้น อร่อยสุดๆ แถมมีกลิ่นหอม มะม่วงจากแหล่งนี้มีลักษณะเด่นที่สังเกตได้ง่ายคือ ผิวเขียวนวลสวย ลักษณะเปลือกหนา ทนทานต่อการขนส่ง
นอกจากนี้ เจ๊เฮงยังรับซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นที่ปลูกในเขตที่ราบ เรียกว่า "โซนทะเล" มะม่วงที่ปลูกในแหล่งนี้ เกษตรกรนิยมเก็บผลอ่อนออกขายเป็นหลัก จึงมีรสชาติจืด และไม่มีกลิ่นหอมเหมือนมะม่วงที่ปลูกในโซนภูเขา แถมผิวบอบบางกว่า ช้ำได้ง่าย เมื่อขนส่งไปขายที่ไกลๆ
มะม่วงแก้วขมิ้นที่นำเข้ามาจากกัมพูชา จะนำมาคัดเกรดเป็น 3 กลุ่ม คือ มะม่วงแก่ ผิวสีเหลือง มะม่วงลาย ผิวมีรอยตำหนิ และมะม่วงอ่อน ผิวมีสีขาว เจ๊เฮงจะขายส่งให้แก่ลูกค้า ครั้งละไม่ต่ำกว่า 10 ลัง ในราคากิโลกรัมละ 12 บาท มะม่วงลาย 10 บาท/กิโลกรัม มะม่วงอ่อน 11 บาท/กิโลกรัม ปัจจุบันลูกค้าคนไทยนิยมซื้อมะม่วงแก่มากเป็นอันดับหนึ่ง
ปัจจุบัน เจ๊เฮงนอกจากสวมบทบาทเป็นแม่ค้าขายมะม่วงแล้ว ยังเป็นเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงแก้วขมิ้นอีกด้วย เธอบอกว่า หลังจากคนไทยหันมาตื่นตัวสนใจบริโภคมะม่วงแก้วขมิ้นกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สามีเธอตัดสินใจลงทุนทำสวนมะม่วงแก้วขมิ้นที่เขาคีรีรมย์ จังหวัดกัมปงสะปือ ปลูกมะม่วงแก้วขมิ้นประมาณ 10,000 ต้น ใช้เวลาปลูกประมาณ 2-3 ปี ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตออกขายได้แล้ว
ทั้งนี้ ต้นมะม่วงแก้วขมิ้น มีลักษณะโดยทั่วไปคล้ายกับมะม่วงสายพันธุ์อื่นๆ ลำต้นสูง 3-6 เมตร ใบแหลมยาว โคนมน ดอกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกมีกลิ่นหอม ผลมีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลูกใหญ่กว่ามะม่วงแก้วพันธุ์ดั้งเดิมของไทย ส่วนรสชาติก็คล้ายมะม่วงแก้วไทย แต่มีรสเปรี้ยวน้อยกว่าและไม่มีกลิ่นขี้ไต้ เมล็ดมีขนาดเล็ก ปริมาณเนื้อมาก เนื้อแน่น ติดผลเป็นพวง 5-10 ผล ผลมีขนาดใหญ่ ให้ผลดกเต็มต้นตลอดทั้งปี โดยปกติต้นมะม่วงแก้วขมิ้นจะมีระยะพักต้น ปีละ 3 เดือน ในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม มะม่วงชนิดนี้สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี เช่น เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และทาบกิ่ง
จุดเด่นของมะม่วงพันธุ์นี้คือ เป็นพันธุ์มะม่วงที่ติดผลง่าย ให้ผลดกตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องใช้วิธีบังคับให้ติดผลนอกฤดูเช่นเดียวกับมะม่วงสายพันธุ์อื่นๆ ทำให้เกษตรกรกัมพูชาที่ปลูกมะม่วงสายพันธุ์นี้ สามารถเก็บผลผลิตออกขายได้เกือบทั้งปี มะม่วงชนิดนี้มีเนื้อในสีเหลืองขมิ้น ผลดิบที่ไม่ค่อยแก่ สีเนื้อจะไม่ค่อยเหลืองเท่าไหร่ แต่ผลดิบแก่ เนื้อจะออกสีเหลืองเหมือนขมิ้น ยิ่งแก่มากยิ่งสีเหลืองมาก ผลสุกมีรสหวาน แต่ผู้บริโภคนิยมรับประทานดิบมากกว่า
"คนกัมพูชา ชอบทานมะม่วงแก้วขมิ้นกับน้ำปลาหวานเช่นเดียวกับคนไทย โดยใช้เกลือตำกับพริกและกะปิ ราคาขายมะม่วงแก้วขมิ้นที่ขายในท้องถิ่น ตกประมาณลูกละ 8 บาท ส่งมาขายในเมืองไทยได้กำไรดีกว่ามาก ทุกวันนี้ เธอมีกำไรจากการขายมะม่วงแก้วขมิ้น เพียง 1 บาท/กิโลกรัม อาศัยขายสินค้าในปริมาณมาก ก็ยังมีกำไรพอเลี้ยงตัวเองอยู่ได้" เจ๊เฮง กล่าว
เครดิตคัดลอกข้อความมาจาก http://info.matichon.co.th/
Friday, 8 July 2016
ถิ่นกำเนิด มะม่วงแก้วขมิ้น
มะม่วงชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดจาก ประเทศเขมร ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว มีความพิเศษคือ เป็นมะม่วงปลูกรับประทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก
รสชาติ ผลดิบฝานเป็นชิ้นๆจิ้มเกลือพริกป่น หรือกินกับน้ำปลาหวานกรอบมันปนเปรี้ยวและหวานเล็กน้อย ฉ่ำน้ำ เนื้อไม่แข็งหยาบกระด้าง หรือเหนียวเหมือนมะม่วงกินผ
เนื้อสุก ไม่เละ รสชาติหวานหอมไม่มีเสี้ยนอร่อยมาก แต่จะนิยมรับประ-ทานผลดิบมากกว่าผลสุก ปลูกต้นเดียวมีผลให้ผู้ปลูกเก็บรับประทานได้ตลอด แถมเวลาติดผลจะเป็น
มะม่วงแก้วขมิ้น เป็นไม้ยืนต้นสูง 10-15 เมตร ใบเดี่ยว ออกเวียนสลับรอบกิ่งก้านหนาแน่นบริเวณปลายยอด ใบเป็นรูปรี ปลายแหลม โคนมน เนื้อใบค่อนข้างหนา เวลาใบด
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/297169
รสชาติ ผลดิบฝานเป็นชิ้นๆจิ้มเกลือพริกป่น หรือกินกับน้ำปลาหวานกรอบมันปนเปรี้ยวและหวานเล็กน้อย ฉ่ำน้ำ เนื้อไม่แข็งหยาบกระด้าง หรือเหนียวเหมือนมะม่วงกินผ
เนื้อสุก ไม่เละ รสชาติหวานหอมไม่มีเสี้ยนอร่อยมาก แต่จะนิยมรับประ-ทานผลดิบมากกว่าผลสุก ปลูกต้นเดียวมีผลให้ผู้ปลูกเก็บรับประทานได้ตลอด แถมเวลาติดผลจะเป็น
มะม่วงแก้วขมิ้น เป็นไม้ยืนต้นสูง 10-15 เมตร ใบเดี่ยว ออกเวียนสลับรอบกิ่งก้านหนาแน่นบริเวณปลายยอด ใบเป็นรูปรี ปลายแหลม โคนมน เนื้อใบค่อนข้างหนา เวลาใบด
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/297169
Friday, 1 July 2016
มะม่วงแก้วขมิ้น ขายส่ง
"ร้าน เพย-ออน"
เผยยอดขายมะม่วง
แก้วขมิ้นโต ปีละ 20%
"เพย เม้ง" พ่อค้าชาวกัมพูชา เปิดกิจการห้างหุ้นส่วนจำกัด พี.โอ.แมงโก เพื่อดำเนินธุรกิจค้าขาย มะม่วงที่ตลาดไท ในชื่อ "ร้านเพย-ออน" โทร. (080) 456-8862, (084) 667-9666 เปิดเผยว่า ผมนำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นเข้ามาขายในเมืองไทย เมื่อ 4 ปีก่อน เพราะเป็นช่วงที่มะม่วงไทยขาดตลาด ปรากฏว่า คนไทยนิยมบริโภคมะม่วงแก้วขมิ้นกันมาก เพราะสีผลออกเหลืองน่ารับประทาน เนื้อกรอบ รสชาติเปรี้ยวน้อยกว่ามะม่วงไทย ผมจึงสั่งมะม่วงแก้วขมิ้นจากกัมพูชาเข้ามาขายอย่างต่อเนื่อง
คุณเพยมีเครือข่ายพ่อค้าในกัมพูชา ทำหน้าที่รวบรวมผลผลิตมะม่วงแก้วขมิ้นและส่งมาขายที่ตลาดไท วันละ 10 ตัน โดยขายส่งหน้าร้าน ปัจจุบันสินค้าส่วนใหญ่จะถูกส่งไปขายในตลาดภาคใต้ ลูกค้าส่วนใหญ่นิยมซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นเพื่อรับประทานเป็นผลสุก (ทางร้านบริการบ่มมะม่วงให้แก่ลูกค้า โดยคิดราคาบริการเพิ่ม ในอัตรา กิโลกรัมละ 1 บาท) ปกติ คนใต้นิยมมะม่วงผลสุกถึง 80% เดิมทีคนใต้นิยมรับประทานมะม่วงทองดำ แต่มะม่วงชนิดนี้มีผลผลิตเข้าสู่ตลาดเพียงไม่กี่เดือนต่อปี ขณะที่มะม่วงแก้วขมิ้นมีผลผลิตเข้าสู่ตลาดเกือบตลอดทั้งปี ก็สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่
ร้านค้าแห่งนี้ แบ่งเกรดมะม่วงออกขายเป็น 2 เบอร์ คือ เบอร์เล็ก ขนาด 4 ลูก/กิโลกรัม ขายส่งประมาณกิโลกรัมละ 12 บาท และเบอร์ใหญ่ ขนาด 2-3 ลูก/กิโลกรัม ขายส่งในราคากิโลกรัมละ16-18 บาท ลูกค้าในพื้นที่ภาคใต้นิยมบริโภคมะม่วงแก้วขมิ้นผลใหญ่ บางครั้งมีลูกค้าส่งมะม่วงผลใหญ่ขนาด 2 ลูก/กิโลกรัม ส่งไปขายถึงมาเลเซีย ส่วนพ่อค้ารถเข็นผลไม้นิยมซื้อมะม่วงขนาดผลเล็ก
"ระยะแรกที่ผมเปิดตลาดแก้วขมิ้น ผมนำเข้ามะม่วงจากกัมพูชาเข้ามาขายเพียง 1 คันรถปิกอัพ แต่ปัจจุบันมะม่วงแก้วขมิ้นครองส่วนแบ่งตลาดมะม่วงไทยได้มากขึ้นเรื่อยๆ มียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี ไม่ต่ำกว่าปีละ 20% จุดแข็งของมะม่วงแก้วขมิ้น นอกจากความโดดเด่นในด้านรสชาติความอร่อย รับประทานสุกก็ได้ รับประทานดิบก็อร่อยแล้ว มะม่วงแก้วขมิ้นมีผลผลิตป้อนเข้าตลาดเกือบทั้งปี แถมมีปริมาณมาก ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มะม่วงแก้วขมิ้นก้าวเป็นผู้นำตลาดมะม่วงในเมืองไทยในทุกวันนี้" คุณเพย กล่าว
หากใครอยากรับประทานมะม่วงแก้วขมิ้นที่มีรสชาติอร่อย คุณเพย แนะนำว่า ให้เลือกซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นที่มีผลแก่จัด ผิวสีเหลือง รสชาติจะไม่เปรี้ยวจัด หากเป็นมะม่วงผลแก่จัด ใช้เวลาเพียง 2-3 วัน เนื้อก็สุกพร้อมรับประทานได้แล้ว หากนำไปแช่น้ำแข็ง สามารถเก็บรักษาคุณภาพได้เป็นอาทิตย์ ส่วนมะม่วงอ่อน ไม่แก่จัด สังเกตได้ง่ายเพราะจะมีผิวเขียวใส เมื่อปอกเนื้อออกรับประทานจะมีรสชาติเปรี้ยวจัดจ้าน หากจะให้อร่อยก็ต้องรับประทานกับน้ำปลาหวาน หรือนำไปปรุงรสในลักษณะมะม่วงยำหรือส้มตำมะม่วง ก็จะเพิ่มรสชาติความอร่อยได้ตามที่ต้องการ
เครดิต คัดลอกบทความมาจาก http://info.matichon.co.th/
เผยยอดขายมะม่วง
แก้วขมิ้นโต ปีละ 20%
"เพย เม้ง" พ่อค้าชาวกัมพูชา เปิดกิจการห้างหุ้นส่วนจำกัด พี.โอ.แมงโก เพื่อดำเนินธุรกิจค้าขาย มะม่วงที่ตลาดไท ในชื่อ "ร้านเพย-ออน" โทร. (080) 456-8862, (084) 667-9666 เปิดเผยว่า ผมนำเข้ามะม่วงแก้วขมิ้นเข้ามาขายในเมืองไทย เมื่อ 4 ปีก่อน เพราะเป็นช่วงที่มะม่วงไทยขาดตลาด ปรากฏว่า คนไทยนิยมบริโภคมะม่วงแก้วขมิ้นกันมาก เพราะสีผลออกเหลืองน่ารับประทาน เนื้อกรอบ รสชาติเปรี้ยวน้อยกว่ามะม่วงไทย ผมจึงสั่งมะม่วงแก้วขมิ้นจากกัมพูชาเข้ามาขายอย่างต่อเนื่อง
คุณเพยมีเครือข่ายพ่อค้าในกัมพูชา ทำหน้าที่รวบรวมผลผลิตมะม่วงแก้วขมิ้นและส่งมาขายที่ตลาดไท วันละ 10 ตัน โดยขายส่งหน้าร้าน ปัจจุบันสินค้าส่วนใหญ่จะถูกส่งไปขายในตลาดภาคใต้ ลูกค้าส่วนใหญ่นิยมซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นเพื่อรับประทานเป็นผลสุก (ทางร้านบริการบ่มมะม่วงให้แก่ลูกค้า โดยคิดราคาบริการเพิ่ม ในอัตรา กิโลกรัมละ 1 บาท) ปกติ คนใต้นิยมมะม่วงผลสุกถึง 80% เดิมทีคนใต้นิยมรับประทานมะม่วงทองดำ แต่มะม่วงชนิดนี้มีผลผลิตเข้าสู่ตลาดเพียงไม่กี่เดือนต่อปี ขณะที่มะม่วงแก้วขมิ้นมีผลผลิตเข้าสู่ตลาดเกือบตลอดทั้งปี ก็สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่
ร้านค้าแห่งนี้ แบ่งเกรดมะม่วงออกขายเป็น 2 เบอร์ คือ เบอร์เล็ก ขนาด 4 ลูก/กิโลกรัม ขายส่งประมาณกิโลกรัมละ 12 บาท และเบอร์ใหญ่ ขนาด 2-3 ลูก/กิโลกรัม ขายส่งในราคากิโลกรัมละ16-18 บาท ลูกค้าในพื้นที่ภาคใต้นิยมบริโภคมะม่วงแก้วขมิ้นผลใหญ่ บางครั้งมีลูกค้าส่งมะม่วงผลใหญ่ขนาด 2 ลูก/กิโลกรัม ส่งไปขายถึงมาเลเซีย ส่วนพ่อค้ารถเข็นผลไม้นิยมซื้อมะม่วงขนาดผลเล็ก
"ระยะแรกที่ผมเปิดตลาดแก้วขมิ้น ผมนำเข้ามะม่วงจากกัมพูชาเข้ามาขายเพียง 1 คันรถปิกอัพ แต่ปัจจุบันมะม่วงแก้วขมิ้นครองส่วนแบ่งตลาดมะม่วงไทยได้มากขึ้นเรื่อยๆ มียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี ไม่ต่ำกว่าปีละ 20% จุดแข็งของมะม่วงแก้วขมิ้น นอกจากความโดดเด่นในด้านรสชาติความอร่อย รับประทานสุกก็ได้ รับประทานดิบก็อร่อยแล้ว มะม่วงแก้วขมิ้นมีผลผลิตป้อนเข้าตลาดเกือบทั้งปี แถมมีปริมาณมาก ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มะม่วงแก้วขมิ้นก้าวเป็นผู้นำตลาดมะม่วงในเมืองไทยในทุกวันนี้" คุณเพย กล่าว
หากใครอยากรับประทานมะม่วงแก้วขมิ้นที่มีรสชาติอร่อย คุณเพย แนะนำว่า ให้เลือกซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นที่มีผลแก่จัด ผิวสีเหลือง รสชาติจะไม่เปรี้ยวจัด หากเป็นมะม่วงผลแก่จัด ใช้เวลาเพียง 2-3 วัน เนื้อก็สุกพร้อมรับประทานได้แล้ว หากนำไปแช่น้ำแข็ง สามารถเก็บรักษาคุณภาพได้เป็นอาทิตย์ ส่วนมะม่วงอ่อน ไม่แก่จัด สังเกตได้ง่ายเพราะจะมีผิวเขียวใส เมื่อปอกเนื้อออกรับประทานจะมีรสชาติเปรี้ยวจัดจ้าน หากจะให้อร่อยก็ต้องรับประทานกับน้ำปลาหวาน หรือนำไปปรุงรสในลักษณะมะม่วงยำหรือส้มตำมะม่วง ก็จะเพิ่มรสชาติความอร่อยได้ตามที่ต้องการ
เครดิต คัดลอกบทความมาจาก http://info.matichon.co.th/
Subscribe to:
Posts (Atom)